วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อันตรายจากไมโครเวฟ !




ภาพข้างล่างเอามาจากเวป   arunsawat.com   เห็นแล้วตกใจนิิดหน่อย
เป็นกาีรทดลองโดยการเปรียบเทียบการอุ่นน้ำจากไมโครเวฟและการอุ่นน้ำจากกาน้ำทั่วไป  












เกิดอะไรขึ้น เก้าวันเท่านั้น โอ้ย แล้วเราละเต็มๆ เลยสะสมไปวันละนิดๆ
เค้าว่ากันว่าอันตรายนี้้สะสมรวดเร็วพอๆกับยาพิษ เหมือนตายผ่อนส่ง    
มันจะทำให้การย่อยเราไม่ได้การดูดซึมอาหารเราไม่ดีด้วยเท่ากับกินของเสีย
และมีของเสียคงอยู่ในร่างกายถาวรเหมือนกินยาพิษอิเลคตรอนและโปรตรอน
ที่อยู่ในอาหารที่ถูกปรุงด้วยไมโครเวฟมันถูกเปลี่ยนรูปไปทำให้อาหารคือสารพิษ
ผลคือ ถ่ายไม่คล่อง เป็นมะเร็งเต้านม ลำคอลำไส้และอวัยวะภายในการสืบพันธุ์  



ผลจากอาหารไมโครเวฟทำให้ผู้ชายเป็นหมัน   แล้วมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ
ส่วนผู้หญิงจะเป็นมะเร็งที่มดลูก ลูกออกมามักไม่สมบูรณ์ ตอนนี้ยังไม่พบข่าวการแพทย์ในไทย
ผลทางร่างกาย หงุดหงิด สมองเสื่อมไว   เมตาบอริซึมผิดปกติ ไมเกนเป็นง่าย  

บนฉลากขวดนมสำหรับเลี้ยงทารก ก็มีการระบุอย่างชัดเจนว่าห้ามใช้เตาไมโครเวฟต้มน้ำให้เดือด
เนื่องจากคลื่นไมโครเวฟจะไปทำลายสารอาหารที่มี ประโยชน์ทั้งหมด
ผลร้ายที่เกิดเนื่องจากไมโครเวฟนี้ มีรายงานมากมายที่ทำในประเทศรัสเซีย เยอรมนี
และสวิตเซอร์แลนด์แต่มีน้อยมากในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากการวิจัยในสหรัฐส่วนใหญ่
จะต้องเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางการค้า มิฉะนั้น จะไม่ค่อยมีคนทำตาม  
ในรายงานในรัสเซีย เยอรมนี และสวิส พบว่าคลื่นไมโครเวฟ จะทำให้คลื่นสมอง
ลดลง สมองเสื่อม ทำให้คลื่นสมองมีความยาวคลื่นสั้นลง ในไมโครเวฟนอกจากจะ    
เป็นสารก่อมะเร็งแล้ว ยังเป็นสารตกค้างที่ร่างกายขจัดไม่ได้ คลื่นในระยะยาว
จะทำให้ฮอร์โมนเพศลดลง และเปลี่ยนแปลงทำลายเกลือแร่ต่างๆ ในผัก
เปลี่ยนเป็นอนุมูลอิสระที่เป็นโทษต่อร่างกาย ยังมีคลื่นอื่นๆ อีกหลายตัวในไมโครเวฟ
ที่ล้วนทำให้สารบำรุงในอาหารเปลี่ยนไป และแปรสภาพเป็นสารก่อมะเร็ง …  
ข้อมูลจากหนังสือซานเปิ่น (ศาสตราจารย์ด้านโภชนาการ มหาวิทยาลัยสิงคโปร์)


ดร.ฮานส์   อุลริช   เฮอร์เทล   (HansUlrich Hertel )   นักวิทยาศาสตร์
เคยทำงานของมหาวิทยาลัยโลวาน   ศึกษาผลกระทบด้านโภชนาการ
ของอาหารไมโครเวฟที่มีต่อเลือดและร่างกายของมนุษย์   โดยให้อาสาสมัคร 8 คน
กินนมแลผักที่เตรียมวิธีต่างกัน   คือ นมสด   ,  นมชนิดเดียวกันแต่ต้มด้วยวิธีดังเดิม ,
นมพาสเจอไรซ์ , นมสดที่ผ่านการต้มด้วยไมโครเวฟ , ผักสดจากฟาร์มอินทรีย์ ,
ผักชนิดเดียวกันแต่ต้มด้วยวิธีดังเดิม , ผักชนิดเดียวกันแต่แช่แข็งและละลายในไมโครเวฟ
และผักชนิดเดียวกันแต่หุงต้มในไมโครเวฟ   มีการเก็บตัวอย่างเลือดก่อนกินขณะท้องว่าง   และหลังกิน

ผลการทดลองปรากฏว่า   พบการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในเลือดของผู้กินอาหาร
ที่ผ่านการหุงต้มด้วยไมโครเวฟ เช่น   เฮโมโกลบินลดลง โคเลสเทอเลลเทอรอลชนิดดีลดลง    
เซลล์เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น   ซึ่งการที่เซลล์เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น   ในเชิงโลหิตวิทยา
ถือเป็นสัญญาณอันตราย   กล่าวคือมีความผิดปกติเกิดขึ้นในร่างกาย   ร่างกายจึงต้อง
ผลิตเม็ดเลือดขาวขึ้นมาเพื่อจัดการกับความผิดปกติเหล่านั้น
ราวกับทิ้งระเบิดลูกใหญ่ลงกลางวงอุตสาหกรรมเตาไมโครเวฟ ภายหลังตีพิมพ์ผลงานไม่นาน    
สมาคมผู้ค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนและอุตสาหกรรมแห่งสวิตเซอร์แลนด์ที่รู้จักในชื่อ    
FEA   ก็อาศัยอำนาจศาลสั่งให้   ดร. เฮอร์เทล   ยุติการเผยแพร่ข้อมูล ต่อมาในปี 2536
ศาลสวิตเซอร์แลนด์ได้พิพากษาว่า   ดร. เฮอร์เทลทำลายการค้า   พร้อมสั่งปรับและ
ห้ามไม่ให้ตีพิมพ์ผลการวิจัยอีกต่อไป   ทว่าในอีก 5 ปีต่อมา   ศาลสิทธิมนุษยชน
แห่งยุโรปที่ออสเตรเรียได้พิพากษาว่า   การสั่งห้ามไม่ให้   ดร.เฮอร์เทลพูดถึง
อันตรายของเตาไมโครเวฟที่มีต่อสุขภาพของมนุษย์ เป็นการระเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก    
ทั้งนี้ได้สั่งศาลสวิตเซอร์แลนด์จ่ายค่าชดเชยให้ ดร.เฮอร์เทลด้ว (ที่มาจากเวป  rmutphysics  โดยคุณ ภัสน์วจี   ศรีสุวรรณ์)  
ข้อมูลเยอะไปหน่อยนะ ก็แค่อยากแบ่งปันเนื้อหาสาระให้ทุกคนได้อ่านและศึกษากัน
กลัวไหมงะ ถ้าไม่กลัวก็จงใช้กันต่อไป นะ ... จะทำไงได้ละก็ในปัจจุบันชีวิตคนเรา
ต้องกาีรความรวดเร็ว รีบด่วน มันก็ยากที่จะเลี่ยง แต่ถ้าไม่รีบร้อนอะไร
ก็ใช้วิธีอุ่นอาหารแบบที่บรรพบุรุษเราทำดีกว่านะ (ไม่ต้องถึงขั้นก่อฝืนก่อไฟก็ได้นะ )  
 The end.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น