ผมจะเริ่มตั้งแต่ อธิบายศัพท์ก่อนล่ะกัน
Sunspot จุดดำ/จุดมืด/จุดดับ คือ จุดที่พลังงานน้อยกว่าบริเวณรอบๆ ทำให้มันมืดกว่ารอบๆก็แค่นั้น
และเป็นจุดที่แก๊สร้อนลอยตัวขึ้นไป แล้วเย็นตัว และกำลังจะตกกลับเข้าไป
และพบว่ามีคาบการเกิดทุกๆ 11 ปี มีอายุตั้งแต่ไม่กี่สัปดาห์ถึงหลายเดือน และจะเกิดขึ้นมาเป็นคู่ เสมอ!!
โดยจุดหนึ่งจะเป็นขั้วเหนือกับขั้วใต้ ทำให้เกิดเป็นสนามแม่เหล็กขึ้น
และทุกๆ 11 ปีจะเกิดช่วงที่จะเกิดจุดมืดขึ้นมากที่สุด และเป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์มีปฎิกิริยาสูงสุด
หรือ Solar Maximum ซึ่งทุกครั้งที่เกิด Solar Maximum สนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์จะกลับขั้ว
และซึ่งครั้งล่าสุดที่เกิดคือปี 2001 ครั้งต่อไปคือปี 2012 !!!
พบว่าจำนวนของจุดมืดยังมีความสัมพันธ์กับการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ (Solar radiation)
อีกด้วย จากการตรวจวัดตั้งแต่ปี 2522 โดยเมื่อจุดมืดมีจำนวนมากจะทำให้การแผ่รังสีของดวงอาทิตย์
มีปริมาณลดลง
Solar Maximum
คอโรนา
>> คลิกเพื่อดูรูปใหญ่ <<
i663.photobucket.com/albums/uu353/itou/010621africa06b_big.jpg
จากในรูปเส้นรัศมีสว่างๆชั้นบรรยากาศของดวงอาทิตย์ที่มีชื่อว่า คอโรนา ซึ่งมีอุณหภูมิสูงถึงล้านองศา
และเต็มไปด้วยรังสีเอ็กซ์ ทั้งๆที่ผิวมีอุณหภูมิแค่ประมาณ 4000(จุดมืด) - 6000 องศาเท่านั้น
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้มีอุณหภูมิสูงถึงขนาดนั้น
จริงอยู่ว่ามีอุณหภูมิสูงมาก แต่ก็มิได้มีความร้อนมาก เนื่องจากมีอะตอมของก๊าซอยู่เบาบางมาก
(อุณหภูมิเป็นเพียงค่าเฉลี่ยของพลังงานในแต่ละอะตอม ปริมาณความร้อนขึ้นอยู่กับมวลทั้งหมดของสสาร)
แต่ด้วยพลังงานความร้อนที่สูงมาก ทำให้อนุภาคมีความเร็วมาก และมากพอที่จะหลุดจากแรงโน้มถ่วง
ของดวงอาทิตย์ ทำให้คอโรนา ขยายตัวออกไปทุกทิศทุกทาง จนกระทั่งห่อหุ้มระบบสุริยะไว้ทั้งหมด
เรียกว่า เฮลิโอสเฟียร์ / heliosphere เปรียบเสมือนเป็นเกราะของระบบสุริยะ
ที่คอยป้องกันระบบสุริยะจากรังสี อนุภาค และฝุ่นละอองในอวกาศ
Heliosphere
i663.photobucket.com/albums/uu353/itou/010621africa06b_big.jpg
จากในรูปเส้นรัศมีสว่างๆชั้นบรรยากาศของดวงอาทิตย์ที่มีชื่อว่า คอโรนา ซึ่งมีอุณหภูมิสูงถึงล้านองศา
และเต็มไปด้วยรังสีเอ็กซ์ ทั้งๆที่ผิวมีอุณหภูมิแค่ประมาณ 4000(จุดมืด) - 6000 องศาเท่านั้น
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้มีอุณหภูมิสูงถึงขนาดนั้น
จริงอยู่ว่ามีอุณหภูมิสูงมาก แต่ก็มิได้มีความร้อนมาก เนื่องจากมีอะตอมของก๊าซอยู่เบาบางมาก
(อุณหภูมิเป็นเพียงค่าเฉลี่ยของพลังงานในแต่ละอะตอม ปริมาณความร้อนขึ้นอยู่กับมวลทั้งหมดของสสาร)
แต่ด้วยพลังงานความร้อนที่สูงมาก ทำให้อนุภาคมีความเร็วมาก และมากพอที่จะหลุดจากแรงโน้มถ่วง
ของดวงอาทิตย์ ทำให้คอโรนา ขยายตัวออกไปทุกทิศทุกทาง จนกระทั่งห่อหุ้มระบบสุริยะไว้ทั้งหมด
เรียกว่า เฮลิโอสเฟียร์ / heliosphere เปรียบเสมือนเป็นเกราะของระบบสุริยะ
ที่คอยป้องกันระบบสุริยะจากรังสี อนุภาค และฝุ่นละอองในอวกาศ
Heliosphere
>> คลิกเพื่อดูรูปใหญ่ <<
i663.photobucket.com/albums/uu353/itou/72408main_ACD97-0036-1.jpg
คอโรนาที่แผ่ออกในรูปของพลาสม่า** โดยจะเกาะอยู่ตามเส้นแรงแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ ดังรูป
ซึ่งที่เป็นเส้นโค้ง ก็เพราะดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวเอง และที่เส้นไม่เรียบก็เพราะพลาสม่า
ที่มีความเร็วมากพอ ก็จะดึงเส้นแรงแม่เหล็ก ของดวงอาทิตย์ไปได้เช่นกัน
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เข้ามาปะทะกับโลกจึงไม่ใช่มีแค่พลาสม่า
**พลาสม่า คือ แก๊สที่แตกตัวเป็นไอออนกันอิเล็กตรอน เป็นอนุภาคมีประจุ
i663.photobucket.com/albums/uu353/itou/72408main_ACD97-0036-1.jpg
คอโรนาที่แผ่ออกในรูปของพลาสม่า** โดยจะเกาะอยู่ตามเส้นแรงแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ ดังรูป
ซึ่งที่เป็นเส้นโค้ง ก็เพราะดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวเอง และที่เส้นไม่เรียบก็เพราะพลาสม่า
ที่มีความเร็วมากพอ ก็จะดึงเส้นแรงแม่เหล็ก ของดวงอาทิตย์ไปได้เช่นกัน
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เข้ามาปะทะกับโลกจึงไม่ใช่มีแค่พลาสม่า
**พลาสม่า คือ แก๊สที่แตกตัวเป็นไอออนกันอิเล็กตรอน เป็นอนุภาคมีประจุ
>> คลิกเพื่อดูรูปใหญ่ <<
i663.photobucket.com/albums/uu353/itou/68868.png
ซึ่งเราเรียก กระแสธารพลาสม่าที่พัดออกมาจากดวงอาทิตย์ว่า ลมสุริยะ หรือ Solar wind
ลักษณะการพัดของลมสุริยะ
>> คลิกเพื่อดูรูปใหญ่ <<
i663.photobucket.com/albums/uu353/itou/research_current.gif
>> คลิกเพื่อดูรูปใหญ่ <<
i663.photobucket.com/albums/uu353/itou/mars_space.gif
พบว่าพื้นผิวของดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วไม่เท่ากัน ทำให้เกิดการบิดตัว
ของกระแสพลาสม่า บวกกับความปั่นป่วนของสนามแม่เหล็ก หรือ อาจเกิดจากการเชื่อมต่อใหม่
ของสนามแม่เหล็ก ทำให้บริเวณพื้นผิวของดวงอาทิตย์ เกิดจากปะทุ (Flare) ซึ่งเมื่อเกิดแฟลร์
ขึ้นในบริเวณนี้จะทำให้เกิดลมสุริยะที่รุนแรงมากหรือที่เรียกว่า พายุสุริยะนั่นเอง
หรือเกิดการระเบิดมวลมหาศาลออกมา (CME) ซึ่งพบว่าความถี่ในการเกิดแปรผันตามวัฏจักร
ของดวงอาทิตย์อีกด้วย ซึ่งในช่วงที่ดวงอาทิตย์มีปฎิกิริยาสูงสุด อาจเกิดบ่อยถึง 2-3 ครั้งต่อวัน
ซึ่งสัมพันธ์กับการเกิดของจุดมืดด้วยเช่นกัน
Flare สังเกตว่าเกิดใกล้ๆจุดมืด
CME พลังต่างกับ Flare ลิบลับ
>> คลิกเพื่อดูรูปใหญ่ <<
i663.photobucket.com/albums/uu353/itou/CME_EIT_C2_2002_prev.jpg
พบว่าการปลดปล่อยก้อนมวลจากคอโรนาครั้งหนึ่งๆ (CME) จะพาสสารมวลอย่างน้อย
1.6 x 10 ยกกำลัง 15 กรัม (พันล้านตัน) ออกมาด้วยอัตราเร็ว 20 กิโลเมตรต่อวินาที
จนถึง 2,700 กิโลเมตรต่อวินาที เลยทีเดียว
ทำให้เมื่อเกิด CME ทำให้ลมสุริยะบริเวณนั้นอ่อนกำลังลง เนื่องจาก CME พัดเอาคอโรนาไปหมด
ทำให้เกราะของระบบสุริยะหรือเฮลิโอสเฟียร์ อ่อนกำลังลงชั่วคราว ทำให้มีรังสี อนุภาค
พลังงานและสิ่งแปลกปลอมต่างๆเข้ามา ในระบบสุริยะ ซึ่งทำให้ดาวต่างๆในระบบสุริยะ
ได้รับพลังงานมหาศาลเข้าไป ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบ้างอย่าง ยิ่งช่วง Solar Maximum
ได้รับพลังงานเข้าไปเต็มๆ เช่น ดาวเนปจูน ดาวยูเรนัส เกิดการกลับขั้วของสนามแม่เหล็ก
ส่วนดาวอังคาร พบว่าสนามแม่เหล็กหายไปเลย!!!! ฯลฯ
มาเข้าเรื่องการเรียงตัวของดาวกันดีกว่า
ที่ทฤษฎีการเรียงตัวของดาวเป็นไปได้ เพราะถ้าการเรียงตัวของดาวไม่มีผลแล้ว การเกิด CME
ต้องเกิดแบบสุ่ม แต่จากสถิติพบว่ามันไม่ใช่ แต่ไม่ใช่การเรียงตัวจะทำให้เกิดแผ่นดินไหว
แต่การเรียงตัวทำให้เกิดการเสริมกันของ"สนามแม่เหล็ก" ยิ่งช่วงที่สนามแม่เหล็กของดาวต่างๆ
แปรปรวน และได้รับพลังงานจากภายนอกด้วยแล้ว เป็นตัวกระตุ้น ให้มีโอกาสที่จะระเบิดมวล (CME)
ออกมาในแนวการเรียงตัวมากกว่าทิศทางอื่นเท่านั้น พบว่าช่วงที่มีการเรียงตัวมาก
พบว่าช่วงนั้นจะเกิดจุดมืดขึ้นมากเป็นพิเศษ และช่วงนั้นดวงอาทิตย์จะมีปฎิกิริยาสูงสุด
ซึ่งพบว่าจะเกิดแผ่นดินไหวถี่ขึ้นอย่างผิดปกติ ถ้าเทียบกับช่วงที่ไม่มีการเรียงตัว
ย้ำนะ สนามแม่เหล็ก บางคนออกมาบอกว่าการเรียงตัวไม่มีผลเพราะดาวแต่ละดวงมีมวลน้อยมาก
เมื่อเทียบกับดวงอาทิตย์ ซึ่งก็ถูกเพราะดวงอาทิตย์มีมวลคิดเป็น 99% ของมวลทั้งหมดในระบบสุริยะ
แต่ที่ว่าไม่มีผลนะผิด เพราะมันไม่ได้เกี่ยวกับมวล ซึ่งทำไมนั้นเราจะกล่าวกันต่อไป
กระบวนการมันก็ง่ายๆ ไม่มีอะไรมาก อย่างที่บอกการเรียงตัวทำให้เกิดการเสริมกันของสนามแม่เหล็ก
เป็นการกระตุ้น ให้พลาสม่า ซึ่งเป็นอนุภาคมีขั้ว ถูกดึงไปในทิศที่เกิดการเรียงตัว แล้วทีนี้มันส่งผลกับโลกได้อย่างไร
http://www.youtube.com/watch?v=Rqy58n6PoDc& < Animation สั้นๆประกอบความเข้าใจ
เมื่อพายุสุริยะที่เกิดจาก Flare หรือ CME พัดมาชนกับสนามแม่เหล็กโลก ด้วยความเร็วสูง
ทำให้สนามแม่เหล็กโลกถูกบีบตาม Animation เมื่อเส้นแรงแม่เหล็กโลกไหวแล้ว
ย่อมส่งผลให้ชั้นแมนเทิล ที่เป็นโลหะเหลว เกิดการไหวตัว ส่งผลให้แผ่นเปลือกโลกที่ตั้งอยู่ข้างบน
ย่อมเกิดการไหวตัว ซึ่งทำให้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นครับ
i663.photobucket.com/albums/uu353/itou/68868.png
ซึ่งเราเรียก กระแสธารพลาสม่าที่พัดออกมาจากดวงอาทิตย์ว่า ลมสุริยะ หรือ Solar wind
ลักษณะการพัดของลมสุริยะ
>> คลิกเพื่อดูรูปใหญ่ <<
i663.photobucket.com/albums/uu353/itou/research_current.gif
>> คลิกเพื่อดูรูปใหญ่ <<
i663.photobucket.com/albums/uu353/itou/mars_space.gif
พบว่าพื้นผิวของดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วไม่เท่ากัน ทำให้เกิดการบิดตัว
ของกระแสพลาสม่า บวกกับความปั่นป่วนของสนามแม่เหล็ก หรือ อาจเกิดจากการเชื่อมต่อใหม่
ของสนามแม่เหล็ก ทำให้บริเวณพื้นผิวของดวงอาทิตย์ เกิดจากปะทุ (Flare) ซึ่งเมื่อเกิดแฟลร์
ขึ้นในบริเวณนี้จะทำให้เกิดลมสุริยะที่รุนแรงมากหรือที่เรียกว่า พายุสุริยะนั่นเอง
หรือเกิดการระเบิดมวลมหาศาลออกมา (CME) ซึ่งพบว่าความถี่ในการเกิดแปรผันตามวัฏจักร
ของดวงอาทิตย์อีกด้วย ซึ่งในช่วงที่ดวงอาทิตย์มีปฎิกิริยาสูงสุด อาจเกิดบ่อยถึง 2-3 ครั้งต่อวัน
ซึ่งสัมพันธ์กับการเกิดของจุดมืดด้วยเช่นกัน
Flare สังเกตว่าเกิดใกล้ๆจุดมืด
CME พลังต่างกับ Flare ลิบลับ
>> คลิกเพื่อดูรูปใหญ่ <<
i663.photobucket.com/albums/uu353/itou/CME_EIT_C2_2002_prev.jpg
พบว่าการปลดปล่อยก้อนมวลจากคอโรนาครั้งหนึ่งๆ (CME) จะพาสสารมวลอย่างน้อย
1.6 x 10 ยกกำลัง 15 กรัม (พันล้านตัน) ออกมาด้วยอัตราเร็ว 20 กิโลเมตรต่อวินาที
จนถึง 2,700 กิโลเมตรต่อวินาที เลยทีเดียว
ทำให้เมื่อเกิด CME ทำให้ลมสุริยะบริเวณนั้นอ่อนกำลังลง เนื่องจาก CME พัดเอาคอโรนาไปหมด
ทำให้เกราะของระบบสุริยะหรือเฮลิโอสเฟียร์ อ่อนกำลังลงชั่วคราว ทำให้มีรังสี อนุภาค
พลังงานและสิ่งแปลกปลอมต่างๆเข้ามา ในระบบสุริยะ ซึ่งทำให้ดาวต่างๆในระบบสุริยะ
ได้รับพลังงานมหาศาลเข้าไป ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบ้างอย่าง ยิ่งช่วง Solar Maximum
ได้รับพลังงานเข้าไปเต็มๆ เช่น ดาวเนปจูน ดาวยูเรนัส เกิดการกลับขั้วของสนามแม่เหล็ก
ส่วนดาวอังคาร พบว่าสนามแม่เหล็กหายไปเลย!!!! ฯลฯ
มาเข้าเรื่องการเรียงตัวของดาวกันดีกว่า
ที่ทฤษฎีการเรียงตัวของดาวเป็นไปได้ เพราะถ้าการเรียงตัวของดาวไม่มีผลแล้ว การเกิด CME
ต้องเกิดแบบสุ่ม แต่จากสถิติพบว่ามันไม่ใช่ แต่ไม่ใช่การเรียงตัวจะทำให้เกิดแผ่นดินไหว
แต่การเรียงตัวทำให้เกิดการเสริมกันของ"สนามแม่เหล็ก" ยิ่งช่วงที่สนามแม่เหล็กของดาวต่างๆ
แปรปรวน และได้รับพลังงานจากภายนอกด้วยแล้ว เป็นตัวกระตุ้น ให้มีโอกาสที่จะระเบิดมวล (CME)
ออกมาในแนวการเรียงตัวมากกว่าทิศทางอื่นเท่านั้น พบว่าช่วงที่มีการเรียงตัวมาก
พบว่าช่วงนั้นจะเกิดจุดมืดขึ้นมากเป็นพิเศษ และช่วงนั้นดวงอาทิตย์จะมีปฎิกิริยาสูงสุด
ซึ่งพบว่าจะเกิดแผ่นดินไหวถี่ขึ้นอย่างผิดปกติ ถ้าเทียบกับช่วงที่ไม่มีการเรียงตัว
ย้ำนะ สนามแม่เหล็ก บางคนออกมาบอกว่าการเรียงตัวไม่มีผลเพราะดาวแต่ละดวงมีมวลน้อยมาก
เมื่อเทียบกับดวงอาทิตย์ ซึ่งก็ถูกเพราะดวงอาทิตย์มีมวลคิดเป็น 99% ของมวลทั้งหมดในระบบสุริยะ
แต่ที่ว่าไม่มีผลนะผิด เพราะมันไม่ได้เกี่ยวกับมวล ซึ่งทำไมนั้นเราจะกล่าวกันต่อไป
กระบวนการมันก็ง่ายๆ ไม่มีอะไรมาก อย่างที่บอกการเรียงตัวทำให้เกิดการเสริมกันของสนามแม่เหล็ก
เป็นการกระตุ้น ให้พลาสม่า ซึ่งเป็นอนุภาคมีขั้ว ถูกดึงไปในทิศที่เกิดการเรียงตัว แล้วทีนี้มันส่งผลกับโลกได้อย่างไร
http://www.youtube.com/watch?v=Rqy58n6PoDc& < Animation สั้นๆประกอบความเข้าใจ
เมื่อพายุสุริยะที่เกิดจาก Flare หรือ CME พัดมาชนกับสนามแม่เหล็กโลก ด้วยความเร็วสูง
ทำให้สนามแม่เหล็กโลกถูกบีบตาม Animation เมื่อเส้นแรงแม่เหล็กโลกไหวแล้ว
ย่อมส่งผลให้ชั้นแมนเทิล ที่เป็นโลหะเหลว เกิดการไหวตัว ส่งผลให้แผ่นเปลือกโลกที่ตั้งอยู่ข้างบน
ย่อมเกิดการไหวตัว ซึ่งทำให้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นครับ
แล้วผมรู้ได้ไง ทำไมผมมั่นใจกับทฤษฎีนี้นัก ....
... เพราะพระพุทธเจ้าทรงกล่าวถึงเรื่องนี้ในพระไตรปิฎกด้วย !!! เครดิตทั้งหลายทั้งปวง
ต้องยกให้พระพุทธเจ้าท่าน ผมเพียงแค่นำมานำเสนอ และ หาข้อมูลมาสนับสนุนเท่านั้น ...
... เพราะพระพุทธเจ้าทรงกล่าวถึงเรื่องนี้ในพระไตรปิฎกด้วย !!! เครดิตทั้งหลายทั้งปวง
ต้องยกให้พระพุทธเจ้าท่าน ผมเพียงแค่นำมานำเสนอ และ หาข้อมูลมาสนับสนุนเท่านั้น ...
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๐
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค หน้าที่ ๙๐
ดูกรมารผู้ มีบาป ท่านจงมีความขวนขวายน้อยเถิด ความปรินิพพานแห่งตถาคตจักมีไม่ช้า
โดยล่วงไปอีกสามเดือนแต่นี้ ตถาคตก็ จักปรินิพพาน ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค
ทรงมีพระสติสัมปชัญญะทรงปลงอายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์ และเมื่อพระผู้มี
พระภาคทรงปลงอายุสังขารแล้ว ได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ และขนพองสยองเกล้า
น่าพึงกลัว ทั้งกลองทิพย์ก็บันลือลั่น
ครั้งนั้น พระอานนท์ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า น่าอัศจรรย์จริงหนอ เหตุไม่เคย มีมามีขึ้น
แผ่นดินใหญ่นี้ไหวได้ อะไรหนอเป็นปัจจัยสำหรับให้แผ่นดินไหว ใหญ่ปรากฏ ฯ ...
พระอานนท์คิดดังนั้นแล้วก็เข้าไปถามพระพุทธเจ้า ...
โดย 8 ปัจจัย แต่มีปัจจัยแรก ปัจจัยเดียวที่เป็นปรากฏการทางธรรมชาติ
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค หน้าที่ ๙๐
ดูกรมารผู้ มีบาป ท่านจงมีความขวนขวายน้อยเถิด ความปรินิพพานแห่งตถาคตจักมีไม่ช้า
โดยล่วงไปอีกสามเดือนแต่นี้ ตถาคตก็ จักปรินิพพาน ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค
ทรงมีพระสติสัมปชัญญะทรงปลงอายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์ และเมื่อพระผู้มี
พระภาคทรงปลงอายุสังขารแล้ว ได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ และขนพองสยองเกล้า
น่าพึงกลัว ทั้งกลองทิพย์ก็บันลือลั่น
ครั้งนั้น พระอานนท์ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า น่าอัศจรรย์จริงหนอ เหตุไม่เคย มีมามีขึ้น
แผ่นดินใหญ่นี้ไหวได้ อะไรหนอเป็นปัจจัยสำหรับให้แผ่นดินไหว ใหญ่ปรากฏ ฯ ...
พระอานนท์คิดดังนั้นแล้วก็เข้าไปถามพระพุทธเจ้า ...
โดย 8 ปัจจัย แต่มีปัจจัยแรก ปัจจัยเดียวที่เป็นปรากฏการทางธรรมชาติ
“อย อานนฺท มหาปวี อุทเก ปติฏฺิตา อุทก วาเต ปติฏฺิต วาโต อากาสฏฺโ โหติ”
“ดูกรอานนท์ มหาปฐพีนี้ตั้งอยู่บนน้ำ น้ำตั้งอยู่บนลม ลมตั้งอยู่บนอากาศ”
“โส โข อานนฺท สมโย ย มหาวาตา วายนฺติ มหาวาตา วายนฺตา อุทก กมฺเปนฺติ
อุทก กมฺปิต ปวึ กมฺเปติ”
“สมัยที่ลมใหญ่พัด เมื่อลมใหญ่พัดอยู่ย่อมยังน้ำให้ไหว
น้ำไหวแล้ว ย่อมยังแผ่นดินให้ไหว”
แปลความได้ว่า
ดูกรอานนท์ เปลือกโลกนี้ตั้งอยู่บนลาวา ซึ่งลาวานี้สัมพันธ์กับลมสุริยะ
ลมสุริยะนี้ตั้งอยู่บนอวกาศ เมื่อพายุสุริยะพัดมาย่อมยังลาวาให้ไหวตัว
เมื่อลาวาไหวย่อมยังแผ่นดินให้ไหว
เรารู้กันอยู่แล้ว ใช่ไหมว่าลาวาใต้ผิวโลก มีการเคลื่อนไหวอย่างไม่เป็นระเบียบ
ผมไปค้นเจอว่า เวลาเค้าอยากรู้ว่าลาวาเหลวใต้ผิวโลก ในชั้นแมนเทิลนี้ เคลื่อนที่อย่างไร
รู้ได้โดยการสังเกตุเส้นสนามแม่เหล็ก !!!!
พูดง่ายๆ คือลาวาเหลว ในชั้นแมนเทิล มีความสัมพันธ์กับ สนามแม่เหล็กของโลก
และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกก็เพราะ สนามแม่เหล็กของโลก ก็เกิดจากลาวาหรือโลหะเหลวไหลรอบแก่นโลก
และพบว่า สนามแม่เหล็กของโลก จะปั่นป่วนและอ่อนกำลังลง เมื่อปะทะกับลมสุริยะ....
เพราะฉะนั้นจึงสามารถเชื่อได้ว่าลมสุริยะ ส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหวได้จริง
และถ้าการเรียงตัวของดาวมีผลต่อการเกิดลมสุริยะ ... เราก็อาจทำนายการเกิดแผ่นดินไหวได้เช่นกัน
จบแล้วจ้า ~
Credit : http://www.truth4thai.org/node/186
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น