วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เผยวิกฤติน้ำท่วมโลก เกิดจากแกนโลกสลับขั้ว


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม



แผนที่โลกใหม่ หลังปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)


แผนที่ประเทศไทยหลังจากปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ.2555)



 โลกอาจถึงจุดวิกฤติ เหตุน้ำท่วมโลกปี 2012 อาจเกิดขึ้นจริง เนื่องจากแกนโลกสลับขั้ว โลกจะร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย

          ช่วงนี้ดูเหมือนว่าภัยพิบัติต่าง ๆ จะถาโถมมาสู่โลกอย่างต่อเนื่อง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยเรา คงจะเห็นกันแล้วว่า วิกฤตน้ำท่วมที่เกิดขึ้นนับเป็นมหันตภัยที่ร้ายแรงที่สุดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งทำให้ผู้คนต้องเสียชีวิตและทรัพย์สินอย่างประมาณค่ามิได้ จนหลายคนคงจะคิดว่าใกล้ถึงเวลาที่น้ำจะท่วมโลกในปี 2012 จริง ๆ อย่างที่ทำนายไว้แล้ว!!!

          ทั้งนี้ กลุ่มผู้เชื่อในเรื่อง "วันน้ำท่วมโลก" อ้างอิงข้อมูลวิทยาศาสตร์ว่า ธารน้ำแข็งบริเวณหมู่เกาะกรีนแลนด์ ซึ่งตั้งในมหาสมุทรอาร์กติกทางเหนือกำลังละลาย ด้วยพื้นที่กว่า 2.2 ล้านตารางกิโลเมตร (ตร.กม.) มีน้ำแข็งกว่า 19 ร้อยล้านตัน น้ำแข็งกำลังละลายเป็นน้ำวันละ 1 ล้านตัน โดยจะไหลลงมาสะสมจนทำให้เกิดน้ำท่วมหนักในปี 2012

          ในขณะเดียวกัน คำทำนายจากกลุ่มนักวิจัยอวกาศก็กล่าวเช่นเดียวกันว่า หายนะน้ำท่วมทั่วโลกอาจเกิดขึ้นได้ เนื่องจากองค์การนาซา ได้คำนวณโดยใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เอาไว้ว่า "วันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2012 แกนโลกจะพลิกกลับขั้ว" หมายถึง ขั้วโลกเหนือจะพลิกมาอยู่ขั้วโลกใต้ ช่วงเวลานั้นโลกจะไม่มีพลังสนามแม่เหล็กออกมาป้องกันรังสีต่าง ๆ ทำให้พลังความร้อนสูง หรือ "เปลวสุริยะ" (solar flare) จากดวงอาทิตย์พุ่งตรงมายังโลก ทำให้ธารน้ำแข็งขั้วโลกละลายฉับพลัน

          ด้าน สุมิตร อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตนักวิทยาศาสตร์ขององค์การนาซา ได้กล่าวถึงวิกฤตน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเอาไว้ว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะมีการเตือนภัยมานานกว่า 10 ปีแล้ว เนื่องจากระหว่างที่แกนโลกเคลื่อนตัวพลิกกลับขั้วจากเหนือไปใต้นั้น ส่งผลให้พลังสนามแม่เหล็กเปลี่ยนแปลง แกนโลกเอียงจาก 23.5 องศาเป็น 24.5 องศา ภาวะแปรปรวนของจักรวาลทำให้โลกร้อนระอุอย่างรวดเร็ว น้ำแข็งจากทั่วโลกละลายเร็วมากขึ้น นอกจากนี้ยังจะเกิดพายุลมมรสุมและภัยธรรมชาติด้านต่าง ๆ

          อย่างไรก็ตาม ก็มีนักวิทยาศาสตร์ไทยบางกลุ่มที่ไม่ปักใจเชื่อเรื่องน้ำท่วมโลกดังกล่าวเนื่องจากพวกเขาวิเคราะห์ว่า น้ำท่วมประเทศไทยหนักขึ้นทุกปี สาเหตุหลักเกิดจาก

          1. พื้นที่ชายฝั่งทะเลไทยหายไปปีละประมาณ 10 เมตร และพื้นดินเป็นดินอ่อนมีการทรุดตัวอยู่ตลอดเวลา อีก 40 ปีข้างหน้าจะทรุดต่ำลงไปอีกประมาณ 30 เซนติเมตรทำให้น้ำท่วมง่าย

          2. ผลจากภาวะโลกร้อนเมื่อน้ำฝนเพิ่มมากขึ้นการระบายน้ำจึงไม่ทัน ยิ่งไปกว่านั้นพื้นที่ตามแนวชายฝั่งมักจะมีการสร้างตึกสูงหรือสิ่งก่อสร้างขวางทางน้ำไหล ทำให้ไม่มีช่องทางระบายน้ำออก

          ดังนั้น ปกติพื้นที่กรุงเทพฯ รับปริมาณน้ำฝนไหลผ่านได้ไม่เกิน 2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แต่ปี 2554 มีน้ำไหลผ่าน 4,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จึงส่งผลให้เกิดภาวะน้ำท่วมอย่างหนัก



นายกอร์ดอน ไมเคิล สคัลเลียน

[15 สิงหาคม] แผนที่โลกใหม่ หลังน้ำท่วมโลก เป็นไปได้จริงหรือ? 


          เรื่องที่กลายเป็นประเด็นสาธารณะ และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางที่สุดใน พ.ศ.นี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "น้ำท่วมโลก" ที่จะกลายเป็น "วันสิ้นโลก" ตามที่มีผู้เคยทำนายทายทักไว้ว่า จะเกิดขึ้นในปี ค.ศ.2012 ผนวกกับในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มนุษย์โลกได้เผชิญกับสัญญาณเตือนภัยจากธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน ๆ ก็ยิ่งทำให้คนตื่นตระหนกกับ "วันสิ้นโลก" มากขึ้นเป็นเท่าตัว ฉะนั้นแล้ว จึงไม่แปลก หากคนจะกลับมาพูดถึงเรื่อง "แผนที่โลกใหม่" (Future Map of the World) ที่เคยมีผู้ทำนายเอาไว้ล่วงหน้า ว่าจะเหลือประเทศใดบ้างหลังผ่านเหตุการณ์ภัยพิบัติของโลก ในปี ค.ศ.2012 ไปแล้ว

          และผู้ที่ทำนายเรื่อง "แผนที่โลกใหม่" ไว้ก็คือ นายกอร์ดอน ไมเคิล สคัลเลียน ชายชาวอเมริกัน ซึ่งเคยเกือบเสียชีวิตไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่กลับฟื้นขึ้นมาได้อย่างปาฏิหาริย์ หลังจากนั้น เขาก็อ้างว่าได้รับพรสวรรค์เรื่องการหยั่งรู้อนาคต และยังเคยทำนายเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้ถูกต้องหลายครั้ง เช่น เหตุการณ์แผ่นดินไหวในลอสแองเจอลิส แคลิฟอร์เนีย เมื่อวันที่ 22 เมษายน ค.ศ.1992 (พ.ศ.2535), เหตุการณ์แผ่นดินไหวในแลนเดอร์ส (Landers) และ บิ๊กแบร์ (Big Bear) แคลิฟอร์เนีย เมื่อ 17 มกราคม ค.ศ.1994 (พ.ศ.2537) รวมทั้งแผ่นดินไหวที่เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 17 มกราคม ค.ศ.1995 (พ.ศ.2538) เป็นต้น

          สำหรับเรื่อง "น้ำท่วมโลก" นั้น นายกอร์ดอน บอกว่า ตนได้มองเห็นตัวเองอยู่สูงขึ้นไปในอวกาศ แล้วมองกลับลงมาบนโลกเห็นแผนที่ใหม่ของโลก จนเมื่อเวลาผ่านไปอีกหลายปี เขาก็ยังเห็นภาพเดิม ๆ อีก จึงได้สร้างแผนที่โลกใหม่ หรือ Future Map Of The World ขึ้นมา เมื่อปี ค.ศ.1978 (พ.ศ.2521) และจัดพิมพ์ในปี ค.ศ.1982 (พ.ศ.2525) โดยระบุว่า จะเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติใหญ่ ๆ ในโลกระหว่างปี ค.ศ.1998-2012 (พ.ศ.2541-2555) ทั้งแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด รวมไปถึงเหตุการณ์น้ำท่วมโลก จนทำให้หลายประเทศหายไปจากแผนที่โลกในปัจจุบัน โดยเฉพาะประเทศที่เป็นเกาะอยู่แล้วจะจมน้ำทั้งหมด และมีประชากรหลงเหลือเพียงแค่ 10% เท่านั้น

          และเมื่อพิจารณา "แผนที่โลกใหม่" ของนายกอร์ดอนแล้ว จะเห็นได้ว่า แต่ละทวีปเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด




ทวีปเอเซีย หลังปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)
ทวีปเอเชีย

          ได้รับผลกระทบหนักที่สุด เพราะอยู่ในแนว "วงแหวนแห่งไฟ" และเขตรอยต่อของเปลือกโลก นายกอร์ดอน ทำนายไว้ว่า จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ตั้งแต่ประเทศฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น ไล่ขึ้นไปถึงทะเลแบริ่งที่เป็นช่องแคบอยู่ระหว่างรัฐอะแลสกา กับประเทศรัสเซีย ทำให้เกาะของประเทศญี่ปุ่นจมทั้งหมด เหลือเพียง 2-3 เกาะเล็ก ๆ เท่านั้น เช่นเดียวกับฟิลิปปินส์ที่จะถูกน้ำกลืนไปทั้งหมด

          ส่วนไต้หวัน และเกาหลีส่วนใหญ่จะจมหายไปในทะเลด้วย ขณะที่แนวฝั่งของประเทศจีนจะเลื่อนเข้าไปในแผ่นดินอีกหลายร้อยไมล์ ด้านอินโดนีเซียจะเกิดเกาะใหม่ ๆ ขึ้นมา แต่เกาะที่มีอยู่ก่อนหน้าก็จะจมหายไปด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดจากแผ่นเปลือกโลกที่เคลื่อนตัว ทำให้เกิดการมุดตัว  ยกตัวของแผ่นดิน

          สำหรับประเทศไทย นายกอร์ดอน ทำนายไว้ว่า จะเหลือเพียงแค่ส่วนภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือบางส่วน และภาคกลางตอนบนเท่านั้น จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ เพชรบูรณ์ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย ตาก จะกลายเป็นชายฝั่งทะเล ขณะที่จังหวัดที่ติดกับแม่น้ำโขง คือ อุบลราชธานี อำนาจเจริญ มุกดาหาร นครพนม หนองคาย จะจมทะเลไปหมด และแม่น้ำโขงจะเปลี่ยนเป็นทะเลไปด้วย

          ขณะที่ภาคกลางตอนล่าง รวมทั้งกรุงเทพมหานคร ภาคตะวันออก ภาคใต้ รวมทั้งมาเลเซีย สิงคโปร์ จะถูกน้ำท่วมจมหายไปจนหมดเช่นกัน



ทวีปออสเตรเลีย หลังปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)
ทวีปออสเตรเลีย

          ประเทศออสเตรเลียจะสูญเสียแผ่นดินไปประมาณ 25% เพราะน้ำท่วมชายฝั่งเกือลหมด และจะเกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาที่นอกชายฝั่งที่บริเวณช่องแคบบาสส์เชื่อมกับเกาะทาสเมเนีย ส่วนประเทศนิวซีแลนด์ จะมีขนาดใหญ่ขึ้น เพราะเกิดจากการยกตัวของแผ่นดินที่เป็นผลมาจากการระเบิดของภูเขาไฟ และมีแผ่นดินบางส่วนเชื่อมต่อกับประเทศออสเตรเลียด้วย



ทวีปยุโรป หลังปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)
ทวีปยุโรป

          ประเทศฟินแลนด์ นอร์เวย์ สวีเดน และเดนมาร์กจะถูกน้ำท่วม เหลือเพียงเกาะเล็ก ๆ น้อย ๆ นับร้อยเกาะ ขณะที่สหราชอาณาจักร ตั้งแต่สกอตแลนด์จนถึงช่องแคบจะจมหายไปในทะเลทั้งหมด เหลือเพียง 2-3 เกาะเล็ก ๆ เท่านั้น

          ประเทศรัสเซียจะแยกตัวออกจากทวีปยุโรป เพราะทะเลสาบแคสเปียน ทะเลดำ ทะเลคารา ทะเลบอสติก จะมารวมเข้าไว้ด้วยกัน กลายเป็นทะเลขนาดใหญ่แห่งใหม่ ถูกแบ่งด้วยเทือกเขาอูราล ยาวไปถึงแม่น้ำเยนิเซในไซบีเรีย ตรงนี้อุณหภูมิจะอบอุ่นขึ้น กลายเป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ในอนาคต

          ประเทศบัลแกเรีย และโรมาเนียจะจมอยู่ใต้น้ำ เพราะทะเลดำขยายตัวไปรวมกับทะเลทางตอนเหนือ ประเทศฝรั่งเศสจมน้ำทั้งหมด เหลือแค่เกาะในกรุงปารีส และเกิดทางน้ำใหม่แยกประเทศสวิตเซอร์แลนด์ออกจากประเทศฝรั่งเศส ส่วนประเทศอิตาลี ซึ่งมีพื้นที่ต่ำอยู่แล้วจะจมน้ำทั้งหมด ยกเว้นนครรัฐวาติกันที่อยู่ที่สูงจะปลอดภัย และแผ่นดินสูง ๆ จะกลายเป็นเกาะ เกิดแผ่นดินใหม่ทอดยาวจากเกาะซิซิลิไปจนถึงเกาะซาร์ดิเนีย

          นอกจากนี้ นายกอร์ดอน ยังทำนายด้วยว่า จะเกิดสงครามศาสนาในดินแดนโปแลนด์ เรื่อยไปถึงตุรกี แต่สงครามจะยุติลงด้วยความบริสุทธิ์ของแผ่นดินโดยไฟและน้ำ ขณะที่ตุรกีด้านตะวันตกจะจมอยู่ในน้ำ เกิดแนวชายฝั่งใหม่จากเมืองอีสตันบูลถึงไซปรัส ส่วนใหญ่ของสมรภูมิในสงครามโลกครั้งที่สองจมลงสู่ใต้ทะเล ก่อให้เกิดเกาะเล็ก ๆ ขึ้น




ทวีปแอฟริกา หลังปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555)
ทวีปแอฟริกา

          ทวีปแอฟริกาจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน โดยมีแม่น้ำไนล์ซึ่งกว้างกว่าเดิมมากเป็นตัวแบ่งเขต โดยแม่น้ำไนล์นี้ จะวางอยู่ในรูปตัว Y ของกลางทวีป และไหลผ่านเส้นทางใหม่ คือ ไหลจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตรงปากแม่น้ำไนล์ ผ่านประเทศซูดาน และมีต้นกำเนิดแม่น้ำอยู่ที่เมืองเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้

          ขณะที่ทะเลแดง ซึ่งอยู่ตอนเหนือของทวีปจะขยายกว้างขึ้น ทำให้กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ และเกาะมาดากัสการ์เกือบทั้งหมดจมลงสู่ทะเล ทะเลสาบวิคทอเรียจะรวมเข้ากับทะเลสาบนยาซาไหลลงสู่มหาสมุทรอินเดีย

          นอกจากนี้ ยังมีแผ่นดินใหม่เกิดขึ้นในทะเลอาหรับ บริเวณตอนใต้ของประเทศโอมาน และยังมีแผ่นดินขนาดใหญ่เกิดขึ้นบริเวณทางเหนือและตะวันตกของเมืองเคปทาวน์ด้วย


ทวีปอเมริกาเหนือ

          อ่าวฮัดสันในประเทศแคนาดาจะขยายตัวออกกลายเป็นทะเลปิดในประเทศ พื้นดินบริเวณชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือจะต้องถอยร่นเข้ามาในแผ่นดินอีก 200 ไมล์ เพราะพื้นที่เก่าถูกน้ำท่วมไปจนหมด ส่วนชาวเมืองที่อาศัยแถบบริติชโคลัมเบีย และอะแลสกา จะต้องอพยพมาอยู่ในควิเบก ออนตาริโอ มานิโตบา ซาสแกนเซวัน แอลเบอร์ตา จะกลายเป็นศูนย์กลางผู้ที่รอดพ้นหายนะระหว่างการเปลี่ยนแปลงในตอนต้น

          ส่วนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นที่แรกของโลก โดยแผ่นทวีปอเมริกาเหนือจะเกิดการโก่งตัว เกิดหมู่เกาะแคลิฟอร์เนียขึ้นอีก 150 เกาะ ต่อมาแผ่นเปลือกโลกแผ่นหนึ่งที่มุดตัวลงไปใต้อีกแผ่นหนึ่ง จะทำให้เกิดแนวโก่งตัวและรอยแยก นำไปสู่อุทกภัย ทำให้ ฝั่งทะเลด้านตะวันตกหดลงไปทางตะวันออกสู่รัฐเนเบรสกา ไวโอมิง และโคโลราโด ส่วนทะเลสาบ เกรทเลค (ประกอบด้วยทะเลสาบสุพิเรีย, ฮูรอน, มิชิแกน, อิรี และออนแตริโอ) และแม่น้ำเซนต์ลอเรนซ์จะเชื่อมต่อเข้ากับแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ไหลลงสู่อ่าว

          ขณะที่ประเทศเม็กซิโก น้ำจะท่วมจากชายฝั่งเข้ามาในแผ่นดิน ทำให้คาบสมุทรแคลิฟอร์เนียกลายเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะ พื้นที่ส่วนใหญ่ของยูคาทาน พีนิซูลาจะหายไปในทะเล และจะเกิดภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว ต่อเนื่องยาวนานถึง 25 ศตวรรษ

          ประเทศในอเมริกากลางและแคริบเบียนจะเกิดอุทกภัย จำนวนเกาะลดลง จะมีเส้นทางน้ำใหม่เกิดขึ้นจากอ่าวฮอนดูรัสไปออกที่เอลซัลวาดอร์ ส่วนคลองปานามาจะกลายเป็นคลองตัน


ทวีปอเมริกาใต้

          เนื่องจากมีหลายประเทศอยู่ในพื้นที่ "วงแหวนแห่งไฟ" ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทวีปอเมริกาใต้มากไม่แพ้ทวีปเอเชีย โดยจะเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดในประเทศเวเนซุเอลา โคลัมเบีย และบราซิล จะเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ในลุ่มน้ำอะเมซอนที่ประเทศเปรู และโบลิเวีย กลายเป็นทะเลในภายในทวีป ส่วนประเทศซานวาดอร์ เซาเปาโล ริโอดอร์จาเนโร และบางส่วนของ อุรุกวัย จะจมหายไปในทะเล

          ส่วนเมืองซัลวาดอร์ เซาเปาโล ริโอเดอร์จาเนโร ของประเทศบราซิล และบางส่วนของประเทศอุรุกวัยจะจมหายไปในทะเล ขณะที่ประเทศอาร์เจนตินาจะเกิดทะเลปิดขึ้นในตอนกลางของประเทศ และยังเกิดแผ่นดินขนาดใหญ่ทางตะวันตกของทวีป บริเวณประเทศชิลี รวมทั้งเกิดทะเลปิดขึ้นในบริเวณนั้นอีกแห่งด้วย
          ดูจากคำทำนายของนายกอร์ดอนที่ระบุไว้เป็น "แผนที่โลกใหม่" นี้ ก็คงต้องยอมรับว่า หากเป็นจริงคงจะน่ากลัวไม่น้อย แต่ ณ วันนี้ เราก็ไม่ควรตื่นตระหนกจนเกินไป เพราะนี่เป็นเพียงคำทำนายเท่านั้น ฉะนั้นแล้ว โปรดใช้ดุลพินิจในการไตร่ตรองคำทำนายต่าง ๆ จะดีที่สุด



สัมนา "เจาะลึกภัยพิบัติ พลิกวิกฤตให้เป็นทางรอด ต้อนรับปี 2012"




สัมนาฟรี "เจาะลึกภัยพิบัติ พลิกวิกฤตให้เป็นทางรอด ครั้งที่ 2" 

version: ต้อนรับปี 2012 




ณ หอประชุมพ่อขุนรามคำแหงมหาราช มหาวิทยาลัยรามคำแหง หัวหมาก กรุงเทพฯ 



อาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม 2554 เวลา 8.30 น. - 17.00 น. 




การสัมมนาและการบรรยายจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและมากด้วยประสบการณ์ เพื่อเป็นการเผยแพร่ข้อมูลความรู้และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุแห่งการเกิดภัยพิบัติต่างๆ และภัยธรรมชาติที่เกิดอยู่ในปัจจุบันและอนาคต 



พระอาจารย์รัตน์ รัตนญาโณ 
ดร.สมิทธ ธรรมสโรช 
ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา 
รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ 
รศ.ดร.ปัญญา จารุศิริ 
ดร.ก้องภพ อยู่เย็น 


วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554

คำทำนายวันโลกแตก เด็กชายปลาบู่




         
 ดูเหมือนว่าภัยพิบัติ และเหตุการณ์ความวุ่นวายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกตั้งแต่ต้นปี 2011 ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น สึนามิที่ญี่ปุ่น กัดดาฟี แผ่นดินไหว การปฏิวัติลิเบีย ฯลฯ ประกอบกับคำพยากรณ์ต่าง ๆ จะยิ่งทำให้ชาวโลกยิ่งเชื่อว่า คำทำนายโลกแตก ในปี 2012 ดูท่าจะเป็นจริงมากขึ้นทุกที

          สอดคล้องกับจากคำพยากรณ์ของ "เด็กชายปลาบู่" ที่กำลังฮือฮาในโลกไซเบอร์อยู่ในขณะนี้ เพราะไม่เพียงแต่เด็กชายปลาบู่จะทำนายสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็น่าหวาดกลัวไม่ใช่น้อยเช่นกัน ซึ่งคำพยากรณ์เหล่านี้ เด็กชายปลาบู่ทำนายเอาไว้ ทั้ง ๆ ที่ เขาเสียชีวิตไปแล้วถึง 37 ปี...ส่วนคำทำนายชวนขนลุกที่ว่านั้นจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ ณ บัดนี้...

          นายทองใบ คำสี พ่อของเด็กชายปลาบู่ ได้เป็นสื่อในการบอกเล่าคำพยากรณ์ดังกล่าวให้ฟังว่า... กระผมชื่อนายทองใบ คำสี เกิดวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2481 อายุ 73 ปี เป็นชาวอำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี มีลูกทั้งหมด 5 คน เป็นผู้หญิง 4 คน ผู้ชาย 1 คน ชื่อ "ปลาบู่" ซึ่งได้เสียชีวิตมาแล้ว 37 ปี ตอนเขามีอายุได้ 5 ปี 8 เดือน กับอีก 15 วัน

          ก่อนตายบุตรชาย บอกว่า อีก 15 วันหนูจะตายแล้ว หนูอยากคุยกับพ่อ และให้ไปซื้อเทปมาบันทึกเสียงเขา แต่ตนไม่ได้ทำตาม เพราะไม่เชื่อว่าเขาจะตายจริง ๆ ตนได้ฟังหลาย ๆ เรื่อง แต่เขียนเพียงบางตอนที่บุตรชายได้เล่าเมื่อวันที่ 23-25 มิถุนายน พ.ศ.2517 เป็นเวลา 37 ปีมาแล้ว เรื่องสำคัญ ๆ ที่เขาเล่าคือ เรื่องอดีตชาติของเขา และเรื่องภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยและโลกในอนาคต

          ในเรื่องอดีตชาติของเขา เขาบอกว่า หนูระลึกชาติได้จริง ๆ เป็นปู่ของปู่ทวด เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตาเป็นทิพย์ หูเป็นทิพย์ หมดทั้งตัวเป็นไพฑูรณ์ เมื่อชาติก่อนโน้นหนูเคยเกิดเป็นพระชื่อ "ชิตะ" ตอนพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตได้บอกว่าหนูจะได้เป็น "พระศรีอาริยเมตไตรย" ไม่ต้องมีตำรา ไม่ต้องมีคัมภีร์ก็เทศน์ได้

          และก่อนจะเล่าถึงภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น ปลาบู่ถามว่า "เขื่อนที่ จ.ตาก เจอแผ่นดินไหวพังมั้ย?" ตอนนั้นตนก็ทำงานกับพวกฝรั่ง รู้ว่ามันแข็งแรงมากขนาดไหนก็บอกไปว่า ไม่จมหรอก แต่ปลาบู่บอกว่า "หนูมองเห็นความเสียหาย มีคนตายมากมาย อำเภอสามเงา ตาก นครสวรรค์ อโยธยา ปทุมธานี นนทบุรี โรงพยาบาลศิริราช ท่าเรือคลองเตย เครื่องบินโดยสารไอพ่นจมน้ำด้วย"

          ทั้งนี้ ปลาบู่ต้องการให้ตนเป็น "สื่อ" มาบอกให้มีการเตรียมการป้องกันเขื่อนที่จะพังจากแรงแผ่นดินไหว ก่อนจะแก้ไขไม่ได้ โดยการเอาเหล็กรางรถไฟไปหุ้มให้แข็งแรงเป็นเขื่อนเหล็ก (นำรางรถไฟที่ไม่ใช้แล้ว เพราะสับเปลี่ยนเป็นรางใหม่ ซึ่งปัจจุบันวางกอง ๆ ไว้มากมายตามสถานีรถไฟ) นำไปเสริมตัวเขื่อนภูมิพลที่จังหวัดตาก และเขื่อนเจ้าพระยา ที่จังหวัดชัยนาท เพื่อให้มีความแข็งแรง เพียงพอที่จะรับแรงแผ่นดินไหว เพราะการเตรียมการป้องกันไว้ก่อน เมื่อเกิดปัญหาจะได้ผ่อนหนักให้เป็นเบา

          และเขื่อนที่สร้างเสร็จแล้วยังไม่สมบูรณ์ เพราะไม่ได้วางท่อใหญ่ ๆ เพื่อระบายน้ำจากตัวเขื่อนลงทะเล เพราะถ้าระดับน้ำในเขื่อนเต็มขึ้นมา ก็จะมีการปล่อยน้ำออกจากตัวเขื่อน น้ำก็จะท่วมบ้านเรือนที่อยู่ใต้ตัวเขื่อน แต่ถ้ามีการวางท่อใหญ่ ๆ จากตัวเขื่อนลงสู่ทะเลเลย น้ำก็จะระบายลงท่อไปสู่ทะเล ไม่ท่วมบ้านเรือนและแผ่นดินที่อยู่ข้างบน น้ำเมื่ออยู่ในท่อจะสามารถควบคุมได้ และจะสามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมได้ในระยะยาว และเรื่องการขุดคลองลัดคอคอดลูกน้ำเต้าเพื่อระบายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาให้ ไหลเร็วขึ้น (ปัจจุบันเป็นโครงการตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว)

          หนูอยากให้รัฐบาลทำเขื่อนใต้น้ำ ดักทรายเป็นระยะเพื่อให้แม่น้ำเจ้าพระยาตื้นขึ้นเหมือนเดิม เพราะเมื่อขุดแม่น้ำเจ้าพระยาลึก ๆ ก้นแม่น้ำก็จะมีแต่ตมเลนน้ำหนักของสิ่งก่อสร้างริมแม่น้ำจะกดตมเลนในแม่น้ำ ให้ปูดขึ้นมา ทำให้เกิดการทรุดตัวของสิ่งก่อสร้างริมแม่น้ำ และเมื่อเกิดแผ่นดินไหว ตึกรามบ้านช่อง สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ จะพัง อีกทั้ง น้ำในตัวเขื่อนที่พังยังไหลมาท่วมซ้ำเติม ทุกข์ยาก ลำบากมาก ๆ ตนจึงขอวิงวอนรัฐบาลและผู้ที่รับผิดชอบช่วยพิจารณาดังกล่าวเหล่านี้ด้วย

          และปลาบู่ถามอีกว่า อีก 27 ปี พ.ศ.อะไร ? (2544) จะมีเครื่องบินชนตึก, อีก 30 ปี พ.ศ.อะไร ? (2547) จะเกิดคลื่นยักษ์คนจะตายกันมาก, อีก 35 ปี พ.ศ.อะไร ? (2552) จะเกิดแผ่นดินไหวในต่างประเทศ, อีก 38 ปี (2555) จะเกิดอาเพศรุนแรง แผ่นดินไหวรุนแรงเกือบทั่วโลก จะโดนทั้งไทย พม่า ฯลฯ กรุงเทพฯ จมดินจมน้ำ เขื่อนที่จังหวัดตากก็พัง "ในเวลายามสองในคืนปีใหม่ คนไทยฉลองกันสนุกสนาน เกิดแผ่นดินไหวมีคนตายมากมาย" (ยามสอง คือประมาณเวลา 22.00 –24.00 น.) และอีก 40 ปี จะเกิดสงครามนิวเคลียร์!!!

          นอกจากนี้ ปลาบู่ยังได้ขอร้องตนว่า ขอให้พ่อยกที่ดินที่สวนศรีมหาโพธิ์ อ.สอยดาว จ.จันทบุรี ให้หนูนะ และขอให้พ่อปลูกต้นโพธิ์ไว้ 200 ต้น หากหนูตายไปแล้วพ่อจะรู้เอง ให้จำปานของหนูไว้ให้ดี หนูจะกลับมาเกิดอีกครั้ง ตัวโตเท่านี้จะบวชเณร ออกธุดงค์มาช่วยพ่อสร้างวัด "สุทัศน์เทพไพฑูรย์"(สวนศรีมหาโพธิ์) พร้อมกับแม่ใหม่ จะมาทำปาฏิหาริย์เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา (ซึ่งต่อไปประเทศไทยจะเป็นตัวอย่างแก่ประเทศอื่น ๆ ต่างประเทศจะมาพึ่งพาประเทศไทย และพระพุทธศาสนาจะเป็นอันดับหนึ่งของโลก ขณะที่ประเทศอื่น ๆ จะเสียหายเพราะภัยพิบัติและการสู้รบจากสงคราม)

          โดยที่สวนศรีมหาโพธิ์จะเป็นสถานปฏิบัติธรรมของผู้หญิง และสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและคนชรา (ในยุคที่เกิดความทุกข์ยากเพราะภัยพิบัติ) บนเขาลับแล (โครงการจัดตั้งฯ วัดป่าร่มโพธิ์ศรีฯ) จะเป็นวัดที่อยู่ของพระภิกษุและสามเณร จะมีพระองค์หนึ่งมีบุญบารมีมาก จะมาช่วยพ่อสร้างวัด จะมีคนมาถวายให้สร้างโน่นสร้างนี่จนสร้างไม่หวาดไม่ไหว ซึ่งในปัจจุบันตนได้สร้างรอลูกชายตามที่สัญญาไว้ว่าจะมาหาทั้งสองที่ และได้เฝ้ารอคอยการกลับมาของบุตรชายในชาติใหม่มาเป็นเวลา 37 ปีแล้ว

          ตนได้ฟังหลาย ๆ เรื่อง แต่เขียนเพียงบางตอน ตามเรื่องที่ปลาบู่เล่าเป็นเวลา 37 ปีมาแล้ว ปัจจุบันนี้ตนอายุ 73 ปีแล้ว เป็นห่วงประเทศชาติ และเชื่อว่าต้องเป็นความจริงตามที่ปลาบู่เล่า เพราะที่ผ่านมาเกิดขึ้นมาหมดแล้ว เหลือแต่เรื่องที่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้นเอง...


คำทำนายเด็กชายปลาบู่

บ้านเลขที่ 234/2 หมู่ 1 บ้านตามูล
ตำบลทรายขาว อำเภอสอยดาว
จังหวัดจันทบุรี 2 2 1 8 0

วันที่ 28 กันยายน 2554
สวัสดีครับ ผู้ที่รักผืนแผ่นดินไทย ทุกท่าน

          กระผม ชื่อนายทอง ใบคำสี เกิดวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2481 อายุ 73 ปี เป็นชาวอำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี กระผมมีลูกทั้งหมด 5 คน เป็นผู้หญิง 4 คน ผู้ชาย 1 คน บุตรชายของผมคนเดียวชื่อ “ปลาบู่” ซึ่งได้เสียชีวิตมาแล้ว 37 ปี ตอนเขามีอายุได้ 5 ปี 8 เดือน กับอีก 15 วัน

          ก่อนตายบุตร ชาย บอกกับผมว่า อีก 15 วันหนูจะตายแล้ว หนูอยากคุยกับพ่อ และให้ผมไปซื้อเทปมาบันทึกเสียงเขา แต่ผมไม่ได้ทำตาม เพราะไม่เชื่อว่าเขาจะตายจริง ๆ

          กระผมได้ฟังหลาย ๆ เรื่อง แต่เขียนเพียงบางตอนที่บุตรชายได้เล่าเมื่อ วันที่ 23-25 มิถุนายน พ.ศ.2517 เป็นเวลา 37 ปีมาแล้ว เรื่องสำคัญ ๆ ที่เขาเล่าคือ เรื่องอดีตชาติของเขา และบุคคลสำคัญ ๆ เรื่องภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยและโลกในอนาคต เรื่องราวในอนาคตของประเทศไทย เรื่องสงครามโลกครั้งที่ 3 เรื่องดวงอาทิตย์ โลก จักรวาล ธาตุ เหล็กไหล มีความเป็นมาอย่างไร เรื่องขุมทรัพย์ในแผ่นดินที่พระแม่ธรณีเก็บเอาไว้หลาย ๆ แห่ง ฯลฯ

          รวมถึงต้องการให้พ่อเป็น"ทูต" หรือ "สื่อ" ให้มีการเตรียมการป้องกันเขื่อนที่จะพังจากแรงแผ่นดินไหว การวางท่อใหญ่ ๆ เพื่อระบายน้ำจากตัวเขื่อนลงทะเลเพราะน้ำเมื่ออยู่ในท่อจะสามารถควบคุมได้ และเรื่องการขุดคลองลัดคอคอดลูกน้ำเต้าเพื่อระบายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาให้ ไหลเร็วขึ้น (ปัจจุบันเป็นโครงการตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว)

          ในเรื่องอดีตชาติของเขา เขาบอกว่า หนูระลึกชาติได้จริง ๆ เป็นปู่ของปู่ทวด เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์รู้มั้ย ตาเป็นทิพย์ หูเป็นทิพย์ หมดทั้งตัวเป็นไพฑูรณ์ เมื่อชาติก่อนโน้นหนูเคยเกิดเป็นพระชื่อ "อชิตะ" ตอนพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตได้บอกว่าหนูจะได้เป็น "พระศรีอาริยเมตไตรย" ไง ไม่ต้องมีตำรา ไม่ต้องมีคัมภีร์ก็เทศน์ได้

          อยากให้พ่อช่วยเป็นทูตทางวิญญาณบอกให้ท่านทราบ จะได้ป้องกันไว้ก่อนที่เขื่อนจะพังเพราะแรงแผ่นดินไหว "แผ่นดินแยก เขื่อนแตกขาด" เขื่อนกักเก็บน้ำที่จังหวัดตาก จะพังเสียก่อนจะแก้ไขไม่ได้ โดยการเอาเหล็กรางรถไฟไปหุ้มให้แข็งแรงเป็นเขื่อนเหล็ก จะได้พังไม่มาก จากหนักจะได้เป็นเบา

          "หนูมองเห็นความเสียหาย มีคนตายมากมาย อำเภอสามเงา ตากนครสวรรค์ อโยธยา ปทุมธานี นนทบุรี โรงพยาบาลศิริราช ท่าเรือคลองเตย เครื่องบินโดยสารไอพ่นจมน้ำด้วย"

          เขาถามผมว่า "รถไฟลอยฟ้ามันเหาะได้มั้ยพ่อ?" "รถไฟใต้ดินมันมุดน้ำได้มั้ยพ่อ?" (ปี พ.ศ.2517 ยังไม่มีรถไฟลอยฟ้าและรถไฟใต้ดิน) ใต้กรุงเทพฯ- ธนบุรีไม่มีลูกรัง-หิน มีแต่ทรายทับถมโคลนตมอยู่ลึกๆ คนโบราณก่อสร้างเมืองไม่ต้องตอกเสาเข็ม เอาซุงมาทำแพบก จึงทำได้มั่นคงแข็งแรง

          แม่น้ำเจ้าพระยาถูกขุดลอกให้ลึก ๆ เป็นอันตรายมาก ๆ เพราะทรายทับถมตมเลนเหลือบางมาก ๆ ทำให้ตมเลนปูดทะลักขึ้นมาในแม่น้ำเจ้าพระยา ตึกรามบ้านช่องสิ่งก่อสร้างที่มีน้ำหนักมาก ๆ จมดินยังไม่พอ เพราะเสาเข็มยังจมยังไม่ถึงดินดาน รถไฟยังวิ่งสะเทือนเขย่าเม็ดทรายที่หุ้มเสาเข็ม ทำให้เสาเข็มทรุดตัว

          หนูอยากให้รัฐบาลทำเขื่อนใต้น้ำ ดักทรายเป็นระยะเพื่อให้แม่น้ำเจ้าพระยาตื้นขึ้นเหมือนเดิม เพราะเมื่อขุดแม่น้ำเจ้าพระยาลึก ๆ ก้นแม่น้ำก็จะมีแต่ตมเลนน้ำหนักของสิ่งก่อสร้างริมแม่น้ำจะกดตมเลนในแม่น้ำ ให้ปูดขึ้นมา ทำให้เกิดการทรุดตัวของสิ่งก่อสร้างริมแม่น้ำ

          ตึกราม บ้านช่อง สิ่งก่อสร้างต่างๆ จะพังเพราะแรงแผ่นดินไหว น้ำในตัวเขื่อนที่พังยังไหลมาท่วมซ้ำเติม ทุกข์ยาก ลำบากมาก ๆ การสร้างเขื่อนใหญ่อยู่เหนือพระนคร เป็นอันตราย เพราะแรงแผ่นดินไหวแรงมาก เหมือนเมื่อก่อน ครั้งนาน ๆ โน้น ที่ไดโนเสาร์ตายหมด !!

          เขียนถึงตรงนี้เด็กอายุเพียง 5 ขวบ 8 เดือน 15วัน บ่นว่า เขื่อนที่สร้างเสร็จแล้วยังไม่สมบูรณ์ เพราะไม่ได้วางท่อใหญ่ ๆ เพื่อเอาน้ำออกสู่ทะเล ไม่มีท่อปล่อยน้ำออกจากเขื่อน เพราะถ้าระดับน้ำในเขื่อนเต็มขึ้นมา ก็จะมีการปล่อยน้ำออกจากตัวเขื่อน น้ำก็จะท่วมบ้านเรือนที่อยู่ใต้ตัวเขื่อน แต่ถ้ามีการวางท่อใหญ่ ๆ จากตัวเขื่อนลงสู่ทะเลเลย น้ำก็จะระบายลงท่อไปสู่ทะเล ไม่ท่วมบ้านเรือนและแผ่นดินที่อยู่ข้างบน น้ำเมื่ออยู่ในท่อจะสามารถควบคุมได้ และจะสามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมได้ในระยะยาว

          ปลาบู่ถามผมว่าอีก 27 ปี พ.ศ.อะไร ? (2544) จะมีเครื่องบินชนตึก อีก 30 ปี พ.ศ.อะไร ? (2547) จะเกิดคลื่นยักษ์คนจะตายกันมาก อีก 35 ปี พ.ศ.อะไร? (2552) จะเกิดแผ่นดินไหวในต่างประเทศ แต่อีก 38 ปี (2555) จะเกิดอาเพศรุนแรง แผ่นดินไหวรุนแรงเกือบทั่วโลก จะโดนทั้งไทย พม่า ฯลฯ กรุงเทพฯจมดินจมน้ำ เขื่อนที่จังหวัดตากก็พัง "ในเวลายามสองในคืนปีใหม่ คนไทยฉลองกันสนุกสนาน เกิดแผ่นดินไหวมีคนตายมากมาย" (ยามสอง คือประมาณเวลา 22.00 –24.00 น.)

          กระผม ได้ฟังหลาย ๆ เรื่อง แต่เขียนเพียงบางตอน ตามเรื่องที่ปลาบู่เล่าเป็นเวลา 37 ปีมาแล้ว ปัจจุบันนี้กระผมอายุ 73 ปีแล้ว เป็นห่วงประเทศชาติ เชื่อว่าต้องเป็นความจริงตามที่ปลาบู่เล่า เพราะที่ผ่านมาเกิดขึ้นมาหมดแล้ว เหลือแต่ที่ยังไม่ถึง

          ปลาบู่บอกว่า พ่อครับที่ดินแปลงนี้ยกให้หนูนะ (ที่สวนศรีมหาโพธิ์ อ.สอยดาว จ.จันทบุรี ได้ปลูกต้นโพธิ์ตามที่ลูกชายขอไว้กว่า 200 ต้น เป็นเวลา 36 ปีแล้ว) และให้ทำถนนให้รอบเหมือนกับสนามหลวง ให้ปลูกต้นโพธิ์ให้ด้วย หากหนูตายไปแล้วพ่อจะรู้เอง.. ให้จำปานของหนูไว้ให้ดี.. หนูจะกลับมาเกิดอีกครั้งเป็นลูกของ…… ตัวโตเท่านี้จะบวชเณร ออกธุดงค์มาช่วยพ่อสร้างวัด "สุทัศน์เทพไพฑูรย์" (สวนศรีมหาโพธิ์) พร้อมกับแม่ใหม่ จะมาทำปาฏิหารย์เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา (ลูกชายบอกว่าต่อไปประเทศไทยจะเป็นตัวอย่างแก่ประเทศอื่น ๆ ต่างประเทศจะมาพึ่งพาประเทศไทย และพระพุทธศาสนาจะเป็นอันดับหนึ่งของโลก ขณะที่ประเทศอื่น ๆ จะเสียหายเพราะภัยพิบัติและการสู้รบจากสงคราม) จะเกิดสงครามนิวเคลียร์ในปีที่ 40 หลังจากเสียชีวิต (ตรงกับ พ.ศ. 2557)

          ที่สวนศรีมหาโพธิ์จะเป็นสถานปฏิบัติธรรมของผู้หญิง และสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและคนชรา (ในยุคที่เกิดความทุกข์ยากเพราะภัยพิบัติ) บนเขาลับแล(โครงการจัดตั้งฯ วัดป่าร่มโพธิ์ศรีฯ) จะเป็นวัดที่อยู่ของพระภิกษุและสามเณร จะมีพระองค์หนึ่งมีบุญบารมีมาก จะมาช่วยพ่อสร้างวัด จะมีคนมาถวายให้สร้างโน่นสร้างนี่จนสร้างไม่หวาดไม่ไหว ซึ่งในปัจจุบันผมได้สร้างรอลูกชายตามที่สัญญาไว้ว่าจะมาหาทั้งสองที่ และได้เฝ้ารอคอยการกลับมาของบุตรชายในชาติใหม่มาเป็นเวลา 37 ปีแล้ว

          กระผม ขอวิงวอนรัฐบาลและผู้ที่รับผิดชอบช่วยพิจารณาเรื่องการนำรางรถไฟที่ไม่ ใช้แล้วเพราะสับเปลี่ยนเป็นรางใหม่ (ซึ่งปัจจุบันวางกอง ๆ ไว้มากมายตามสถานีรถไฟ) นำไปเสริมตัวเขื่อนภูมิพลที่จังหวัดตาก และเขื่อนเจ้าพระยา ที่จังหวัดชัยนาท เพื่อให้มีความแข็งแรง เพียงพอที่จะรับแรงแผ่นดินไหว ซึ่งเป็นจุดประสงค์หลักในการเขียนจดหมายของกระผมในครั้งนี้ และท่านคงทราบดีว่าในปัจจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลงในด้านธรณีวิทยาทำให้เกิด แผ่นดินไหวบ่อยครั้ง และสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงทั่วทั้งโลก การป้องกันเตรียมการไว้ก่อน เมื่อเกิดปัญหาจะได้ผ่อนหนักให้เป็นเบา

ขอแสดงความนับถือ
ทองใบ คำสี



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

พนังกันน้ำ เอาน้ำท่วมอยู่ไหม?





เครดิตคุณ แมวเหมียวพุงป่อง ครับ

1. พนังดิน ที่สร้างขึ้นชั่วคราว ไม่มีทางกันน้ำอยู่
เพราะน้ำ เมื่อถูกกั้นไว้ จะซึมลงใต้ดิน ด้วยแรงกดจากน้ำข้างบน

น้ำข้างบน ที่ท่วมสูง 2 เมตร มีแรงกดเท่ากับ 2 ตัน ต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร

ถ้ากางแขนออกสุด หมุนตัวเป็นวงกลม .. พื้นที่ที่ปลายแขนคลุม คือ ประมาณ 3 ตารางเมตร

น้ำหนักน้ำที่ท่วม ในพื้นที่นั้น คือ 6 ตัน .. หรือ ประมาณรถเก๋ง 4 คัน

2. น้ำที่ถูกอัดลงใต้ดิน ไหลลงไปลึกๆ ก็จะเจอน้ำที่ีถูกอัดอยู่แล้ว ลงไปต่อไม่ได้
ไหลย้อนกลับไปทางน้ำที่สูงกว่าก็ไม่ได้

ไหลไปได้ทางเดียว คือ ลอดใต้พนังกันน้ำ

ไม่ได้ไหลไปเอื่อยๆเฉยๆ
แต่พาแรงอัด 2 ตัน ต่อตารางเมตรไปด้วย

พาไปอัดกับดินที่อยู่ใต้พนังกันน้ำ

ดินที่อยู่ใต้พนังกั้นน้ำ .. ลึกลงไปซัก 2-3 เมตร
โดนน้ำเข้า  ก็กลายเป็นดินเหลวๆ .. ดินโคลน

พร้อมที่จะไหลไปจากที่มันเคยอยู่
พร้อมที่จะไหลไป โดยไม่ใส่ใจพนังกั้นน้ำด้านบน

พนัง .. จึงพร้อมที่จะยุบถล่มลงมา


กำแพงบ้าน, กำแพงรั้ว
ประตูกันน้ำ, บานกันน้ำ ฯลฯ ก็เช่นกัน

น้ำ มุดลอดมาทางน้ำใต้ผิวดินได้
และไปโผล่ที่ในพื้นบ้านได้ .. สบายๆ

3. แรงดันน้ำไหล ..

น้ำที่ไหล มี "แรงอัด" เข้ากับสิ่งที่ขวางมัน

น้ำที่ไหลเอื่อยๆ .. ประมาณคนเดิน (5-6 กม/ชม)

มีแรงอัดประมาณ 300 กิโลกรัมต่อตารางเมตร

ถ้าไหลเร็วขึ้นเท่าตัว .. ประมาณคนวิ่งเหยาะๆ
แรงอัด เพิ่มขึ้น 4 เท่า .. เป็น 1,200 กิโลกรัม/ตร.เมตร

แท่งคอนกรีต (barrier) .. ถ้าวางขวางทางไหลน้ำ กว้าง 2 เมตร, สูง 1 เมตร
จะโดนน้ำที่ไหลเร็วๆ .. ดันด้วยแรง 1,200  x 2 x 1 หรือ 2,400 กิโลกรัม

เจ้าแท่ง barrier นี่ มันหนักเท่าไหร่หว่า???

-------------------


"ประสบการณ์จากน้ำท่วม ผมรวบรวมสิ่งที่เรียนรู้ จากน้ำท่วมครั้งนี้ มาบอกกล่าวครับ
1. อย่าเสียเวลากับการป้องกัน หากบริเวณบ้านของท่านอยู่ในพื้นที่เสี่ยง แต่ทางการประกาศว่าระดับน้ำอาจสูงถึง 1.5 เมตร อย่าได้เสียเวลากับการป้องกันเลยครับ ระดับน้ำที่มาถึงบ้านท่าน รับรองว่าจะต่ำกว่าหรืออาจจะสูงกว่าที่ทางการประเมิน

2. กระสอบทราบเป็นแค่เครื่องมือชะลอ กระสอบทรายมิใช้แก้วสารพัดนึกครับ มันไม่สามารถกั้นน้ำได้ 100 % แค่ทำให้น้ำรั่ว หรือซึมเข้ามาได้บ้าง ท่านต้องมีการดูดออกด้วย

3. การวางกระสอบทราย เรามิใช่มืออาชีย การจัดเรียงกระสอบทราย ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญจริงๆๆ ผมกับเพื่อบ้าน หมดค่ากระสอบทรายไป 50,000 บาท สุดท้าย ก้อ ละลายน้ำ

4. อย่าได้เชื่อโครงการ อันนี้มิได้ต่อว่าโครงการนะครับ เพียงแค่ว่าเขาประเมินสถานการณ์ต่ำไป โครงการผมลงทุนน่าจะเป็นล้าน ตั้งคันดิน กระสอบทรายน่าจะกว่า 30,000 ใบ คันสูง 1.5 เมตร เครื่องสูบน้ำออกแบบตัวใหญ่ๆๆกว่า 3 ตัว

5. สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่ สิ่งที่ใช่ อาจไม่เห็น น้ำมิได้โจมตีจะภาคพื้นดินหรอกครับ มันมาจากใต้ดิน มันมุดกำแพงเข้ามา บางครั้งมันโพร่งให้เห็น แต่หากมันไม่โพร่งให้เห็น มันจะซึมลงท่อน้ำทิ้งของโครงการ เนื่องจากท่อน้ำทิ้งที่วางแนวไว้ นานเข้าจะเกิดการทรุดตัว แครก แตก ทำให้น้ำซึมเข้ามา จนกระทั้งเต็มท่อ โครงการมัวแต่อุดท่อที่ต่อกับภายนอก และ ไม่เห็นว่าท่อข้างในมีการรั่วซึม

6. การอุดท่อระบายน้ำเข้าบ้าน มิใช่การป้องกัน ทุกสำนักจะบอกว่า ต้องอุดท่อระบายน้ำ ลองอ่านจากข้อสองครับ เราอาจจะรู้สึกว่าแน่นดี เอาอยู่ น้ำไม่ผ่าน แต่ที่จริง กระสอบทรายแค่ชะลอ ทำให้น้ำผ่านยากขึ้น และที่สำคัญ พวกบ้านเดียว มีพื้นที่สวน ใต้บ้านของท่านล้วนแล้วแต่เป็นโพรง น้ำจะแทรกตัวลงไปจนแน่นโพรงใต้พื้น แล้วจะผุดออกมาตามรอยแตกของบ้าน บางครั้งอาจจะดันกระเบื้องเข้าบ้านได้ แต่เหตุกาาณืนี้เกิดได้ค่อนข้างยาก

7. ห้องน้ำคือจุดอ่อนที่สุด เมื่อน้ำเต็มท่อระบาย จะหาทางออกมาทั้งน้ำทิ้งทางพื้นที่เรียกว่า Floor Drain รวมถึงชักโครก ซึ่งท่านไม่สามารถจะอุดได้ หากจะอุดจริง ๆ ต้องถอดหัวชักโครกแล้วโบกปูน

8. อย่ามัวสาระวนกันการป้องกัน เมื่อน้ำบุกเข้ามาได้ ท่านจะพยายามลากกระสอบทรายมาปิด มาอุด ซึ่งไร้ประโยชน์ เอาเวลาไปตรวจสอบว่า เรามีอะไรยังไม่ได้ยกขึ้นที่สูงอีกบ้าง

9. ไม่ต้องสะสมเสบียง เพราะหากปริมาณน้ำขนาดนี้ ท่านถูกตัดไฟแน่นอน แล้วจะอยู่อย่างๆไร ผมสะสมเสบียงอยู่ได้เกือบ 3 เดือน จบข่าวตั้งแต่วันแรกแล้ว

10. ก่อปูนเป็นทางออกที่เกือบใช่ แต่.... ไปดูข้อเจ็ดครับ หากท่านมั่นใจว่าสามารถสร้างระบบปิดในตัวบ้านท่านได้ ก็จงทำเถิด แต่หากไม่ใช่ อย่าเสียเวลา

11. ระดับความสูง หากท่านเห็นน้ำขนาดนี้มาอีก ของที่ยกได้ ข้อให้ระดับไม่น้อยกว่า 1.5 เมตร หากจะเทินของก็ให้มั่นใจว่ากว่า บ้านผมสูงจากถนน 30 เซ็น ก่อปูนอีก ประมาณ 70 เซน สุดท้าย ไม่รอด

12. เก็บของสำคัญพร้อมหนี อย่ามั่วเสียเวลาในการป้องกัน จัดกระเป๋าสำรองอีกใบ เพราะเวลาคับขันแน่นมาก ท่านจะเก็บไม่ทัน ลืมโน่นลืมนี่

13. หากท่านผ่อนบ้าน จะถูกบังคับทำประกัน จงกลับไปอ่านอนุสัญญา บางบริษัทจะครอบคลุมน้ำท่วม หรือภัยที่มาจากน้ำ ท่านอาจจะได้เงินคมาจากการซ่อมบ้าน

14. บทสรุปครับ มีมากเจ็บมาก มีน้อย เจ็บน้อย เท่าที่คิดได้ครับ ใครมีอะไร สนับสนับสนุนได้ครับ ฝากไว้สำหรับคนที่กำลังจะวางแผน แต่ย้ำว่า สำหรับคนที่อยู่ในพื้นที่ที่ระดับน้ำสูงมากๆๆ หากท่านท่วมแค่ 30 - 50 เซน ก็ป้องกันเถอะครับ
CR : สุเทพ เตมานุวัตร์"

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วิเคราะห์สถานการณ์น้ำท่วม 10 ต.ค. 54



รศ.เสรี ศุภราทิตย์ ม.รังสิต ยัน การใช้เรือดันน้ำ มีประโยชน์เฉพาะแม่น้ำแคบ ๆ อย่างแม่น้ำท่าจีน
และคาดการพื้นที่น้ำ่ท่วมบริเวณกรุงเทพและปริมณฑล
รายการสถานีประชาชน Thai PBS 10 ต.ค. 54 15.30 น.


วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คลิปสรยุทธ์ เจาะข่าวเด่น ตอนแบบจำลองน้ำท่วม แม่นจนขนลุก


ออกอากาศ 20 ธ.ค. 2010 มาเร็วกว่าที่พยากรณ์ไว้

วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

น้ำทะลักท่วมวัดไชยวัฒนาราม แหล่งโบราณสถานสำคัญ เขตมรดกโลก อยุธยา !!!


น้ำทะลัก ท่วมวัดไชยวัฒนาราม แหล่งโบราณสถานสำคัญ เขตมรดกโลก อยุธยา !!!

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

Strange and mysterious sounds from the earth


               หลังจาก Post เรื่องเสียงกึกก้องกัมปนาทของพื้นพิภพได้ไม่นาน ผมได้ลองค้นหาคำอธิบายต่างๆ จนเจอ Post อันนี้เข้า เป็นงานวิจัยที่ดีมากชิ้นหนึ่ง ซึ่งบอกว่าพื้นพิภพที่เราเกาะอาศัยเขาอยู่นี้ ส่งเสียงอยู่เป็นประจำ บางเสียงฟังดูคล้ายกับเสียงกัมปนาทที่พูดถึงกันเมื่อไม่นานมานี้ .....


POSTEN ON 22 AUGUST 2008
Thanks to Noise Addicts

If you listen closely, you’ll find that the earth is full of sounds.  Some are things that you hear every day, some are truly remarkable and some sounds hail from origins completely unknown.  What follows here is a list of “sonic mysteries” for your pleasure – many of them include audio.

1. The Bloop

At various times during the summer of 1997, an ultra-low frequency sound that rose rapidly in frequency over about one minute was detected at 50 degrees S, 100 degrees W.   The sound was detected by the US National Oceanic and Atmospheric Administration with the Equatorial Pacific Ocean autonomous hydrophone array (which was U.S. Navy equipment originally designed to detect Soviet submarines), and was loud enough to be heard on multiple sensors, up to 5000km apart.  Scientists dubbed it the “Bloop” (not to be confused with the “Boing “.)
Although the sound matches the profile of a living animal, it is much louder than any known creature can produce.  Any creature that could produce such a sound would have to be many times larger than the largest whale.
You can hear a very short recording of the sound here .  The recording is short because it’s been sped up 16x to make it audible to you and I.
Some people link the Bloop to Cthulhu , a mythical creature from an H.P. Lovecraft story as the noise originated from an area near the mythical sunken city of R’lyeh from the same story.
The Bloop also makes an appearance in the game promoting the movie Cloverfield, and was also seen in the movie “The Loch”, coming from a giant eel.
A 2001 album by Dntel (“Life is full of possibilities “) uses the bloop as a repeating sample through the piece.
The actual origination of the sound is not known and remains a mystery to this day although it is suspected to be biological in origin.

2. The Hum

The hum is the name of a phenomenon that is generally given to mysterious low frequency humming or rumbling.  It is typically heard by many people at a time (but not others), and can come and go or it can be constant.  There are many famous Hums, most notably the Taos Hum and the Bristol Hum.
The Hum is usually difficult to record, and it’s often difficult to localize the source of the hum (perhaps due to the low frequency, as low frequency sounds are harder to localize).
Hums have been detected (or reported) all over the world, but most appear in Europe and South America.  The Hum is more often heard indoors, and some people hear it more faintly than others.  Here is a recording of the Auckland Hum.
The Taos Hum has been featured on the X-Files and Unsolved Mysteries.  The source of some Hums have been identified – for example, a pair of fans in a cooling tower at a DaimlerChrysler casting plant was emitting a 36 Hz tone that caused a Hum over the entire city of Kokomo, Indiana.  Other Hums remain a mystery.  Some possible explanations Include geological events, pulsed microwaves and electromagnetic waves from meteors.  Tinnitus might explain some cases as well.
A creditable scientific hypothesis from 2005 suggests the Hum is caused by the tensor tympani muscle (a muscle in the inner ear) trembling in the eardrums of individuals. on the eardrums of affected individuals by the tensor tympani muscle trembling.  There is a website by the “Interest Group for Research of the Hum Nuisance” (unfortunately in German) describing this theory.

3.The Hell Hole

(You can decide for yourself on this one…) More than forty years ago, researchers in the Soviet Union began an ambitious drilling project whose goal was to penetrate the Earth’s upper crust and sample the warm, mysterious area where the crust and mantle intermingle– the Mohorovičić discontinuity, or “Moho.”
This type of drilling was completely new and the technology didn’t exist to go that deep, so the Russians had to invent a completely new way of drilling to be able to do it. Unfortunately, the Russians never reached their goal, and many of the Earth’s secrets were left undiscovered, however The Kola Superdeep Borehole is still a scientifically useful site, and research there is ongoing.
When drilling stopped in 1994, the hole was over seven miles deep, making it by far the deepest hole ever drilled by humans. The last of the cores to be plucked from from the borehole was dated to be about 2.7 billion years old.  Although the Kona hole was the deepest hole ever drilled (until this one) , seven miles was still very short of the 20-80km required to penetrate  the earth’s crust.
Like all newfangled science stories, some Genesis freaks have decided that the intent of the project was not real scientific research as they were told – rather this simple experiment was actually an attempt to drill to hell… and that they were successful! The story has (and still does) made its rounds on Christian circles via tracts, preaching and radio broadcasts.
The story varies, but here are the basics:
1.  After going only a few miles down, the drill began to spin wildly.
2.  A ‘Doctor Azzakov’ is quoted as stating authoritatively that it has been shown that the earth is hollow.
3.  Immensely high temperatures were experienced, much higher than expected at that depth. Usually 2,000 degrees Fahrenheit or 1,100 degrees Celsius is quoted.
4.  Microphones were lowered into the hole (to ‘listen to the earth’s movement’). Human screams were heard—hordes of ‘tortured souls’.
5.  Many of the scientists have quit the project in fear and/or have become total nervous wrecks.
Of course, these “facts” are not quite true:
a) If the earth was largely hollow, it would clearly be evident from seismic studies, as well as from orbital/gravitational considerations, but this is not the case.
b) Far from being a ‘fiery inferno’, the temperature increased by one degree Celsius every 100 meters to 3,000 meters, then by 2.5 degrees every 100 meters thereafter. At 10,000 meters, it was only 180 degrees.
The story of course is based on a factual borehole, and creation geologists have had a field day with the shaky “facts” – using the story to prove that yes, hell exists and they’ve been right all along.
Here’s the “quote” that has been making it’s way through evangelical circles:
“We lowered a microphone, designed to detect the sounds of plate movements down the shaft. But instead of plate movements we heard a human voice screaming in pain! At first we thought the sound was coming from our own equipment.”
“But when we made adjustments our worst suspicions were confirmed. The screams weren’t those of a single human, they were the screams of millions of humans!”
Oh, you wanted to HEAR the screams from hell?  But of course!  Listen to it here(mirror ) . 

4. Mistpouffers

In some places in the world, people have reported long successions of enormously loud booming noises.  They are called different things in different areas of the world -  “Guns of the Seneca” (near Seneca Lake in New York), “Barisal guns ” (in Bangladesh), “uminari” (in Japan), “fog guns,” “lake guns,” and many other terms. These terms all describe a sound or sounds that resemble distant cannon fire, and are usually heard near large bodies of water.  Often times they are accompanied by a long rumble that is strong enough to shake plates and pictures.
There have been many proposed theories about where these sounds come from, however most are not very satisfying.  Since these sounds have been reported for centuries means that the most obvious explanation, artillery tests , are pretty much ruled out.  Earthquakes and volcanoes could produce these sounds and rumbles, however the sounds have not been directly connected to any seismic activity, which is fairly well measured.
Some have speculated that undersea activity (perhaps seismic) creates great bubbles of released gas which floats to the surface and creates huge “ocean farts”, however it is a stretch to think that these bubbles could produce a sound strong enough to create the distant-gunfire sound of Mistpouffers.  Meteorite impacts have also been bandied about as a possible explanation (see here for actual meteor sounds) as have tidal waves .
It has also been speculated that these noises happen everywhere and that ambient noise from communities simply make them harder to hear.  Sound travels farther over water than over land, and so the sounds are more easily heard in remote, quiet areas close to bodies of water.
Of course the latest theory is rather boring – that the sounds are made by thunder or other explosions very far away, and the sounds simply travels a very, very long way because atmospheric and topographic conditions happen to be “just so”.  This would explain why no storms or other activity are present in the area and yet the sounds are still heard.
Some people still believe that the sounds are made from alien spacecraft, God, or Thor’s hammer banging on nails while trying to fix the roof over the heavens…. however there is another theory:
A Web page describing the many tourist attractions of the Cayuga Lake area mentions the “Guns of the Seneca.” it also says  “At the southern end, you’ll find the booming city of Ithaca…”  Well, that it. What people are hearing is obviously the sound of Ithaca booming.

5. Slow Down

Slow down was recorded in the Pacific Ocean on May 19,1997.   It was recorded by the U.S. National Oceanic and Atmospheric Administration located around 15 degrees S 115, degrees W.
It is called the Slow Down because the sound slowly decreases in frequency over the span of about 7 minutes.  It was detected using the same hydrophone array as the Bloop, and was loud enough to be detected on multiple sensors 2000km apart.
Here is a recording of the sound, sped up by 16 times.
Some people believe that this sound has been made by a giant squid or other large sea creature, however this theory doesn’t stand up to scientific reason, as squids likey  with tdo not have the capability of producing their beaks ese sounds.
The real source of the Slow Down sound remains completely unknown.  This signal and anything like it has not been heard before or since.

6. The WOW!

No discussion of mysterious sounds would be complete without this one, although it’s not a sound from earth – it’s from space.  You can also debate whether or not it’s actually technically a sound at all, but I’m presenting it here just because it’s interesting.
On August 15, 1977 a SETI scientist working at the Big Ear radio telescope of the Ohio State University noticed a very strong signal that lasted for 72 seconds.  The type of signal resembled signals that are non-terrestrial and non-solar system in origin.
Because the signal was so remarkable, The scientists circled the data on the computer printout and wrote the word “WOW!” beside it. Ever since then, it’s been called the “Wow!” signal.
Since the signal was discovered, scientists from all over have tried to locate it again, however it has never been seen since.
It has been theorized by some people that the signal may have come from extraterrestrial life, however others remain skeptical.
More information on the Wow can be found here by the person who discovered it.
So that’s it for earth sounds… To hear some incredibly strange MUSIC, check this out.

Riddle in the sands: Thousands of strange 'Nazca Lines' discovered in the Middle East



Riddle in the sands: Thousands of strange 'Nazca Lines' discovered in the Middle East

Last updated at 7:33 PM on 15th September 2011



Peru’s Nazca Lines, the mysterious geoglyphs etched into the desert centuries ago by indigenous groups, are world famous – and now thousands of similar patterns have been found in the Middle East.
Satellite and aerial photography has revealed mysterious stone ‘wheels’ that are more numerous and older than the Nazca Lines in countries such as Syria, Saudi Arabia and Jordan.
The structures are thought to date back 2,000 years, but why they were built is baffling archaeologists and historians.
Ancient mystery: The stone wheels are thought to be 2,000 years old
Ancient mystery: The stone wheels are thought to be 2,000 years old
Hidden: Thousands of people have probably walked past the Nazca Line-like structures and not realised what they were
Hidden: Thousands of people have probably walked past the structures and not realised what they were
Baffling: None of the Nazca Line-like patterns appear to be lined up with astronomical phenomena
Baffling: None of the Nazca Line-like patterns appear to be lined up with astronomical phenomena
‘In Jordan alone we've got stone-built structures that are far more numerous than the Nazca Lines, far more extensive in the area that they cover, and far older,’ David Kennedy, a professor of classics and ancient history at the University of Western Australia, told Live Science.
He added: ‘People have probably walked over them, walked past them, for centuries, millennia, without having any clear idea what the shape was.’
The local Bedouin, a nomadic people found in Saudi Arabia, Jordan, Libya, Egypt and Israel, call them the ‘works of the old men’.
They are often found on lava fields – but don’t fall into any pattern, according to Kennedy, whose research into them will be published in an upcoming issue of the Journal Of Archaeological Science.
Similar: The ancient and mysterious Nazca Lines in the Nazca Desert in Peru
Similar: The ancient and mysterious Nazca Lines in the Nazca Desert in Peru
He explains that they come in a huge variety of forms, some being ‘kites’, structures that funnelled animals, some being seemingly random meandering lines of stone and others being rectangular.
None are believed to be aligned with the stars, which has added to the mystery surrounding their purpose.
They were actually first discovered in 1927 by an RAF pilot called Lt. Percy Maitland, but it wasn’t until Professor Kennedy and his team began studying aerial and Google Earth photographs that their true extent was revealed.
A final count has yet to be completed, but Kennedy is certain they run into the thousands.
Local knowledge: The Bedouin call the structures the 'work of the old men'
Local knowledge: The Bedouin call the structures the 'work of the old men'


Read more: http://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-2037850/Thousands-strange-Nazca-Lines-discovered-Middle-East.html#ixzz1YW05Ypww