วันจันทร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2554

ภัยล้างโลกอาจมาจากเส้นทางโคจรของระบบสุริยะ

  การศึกษาใหม่บอกว่าความรุ่งเรืองและสาบสูญซึ่งความหลากหลายทางชีวภาพบนโลกอาจจะโยงไปถึงเส้นทางผุดๆ โผล่ๆ ของระบบสุริยะของเรารอบๆ ทางช้างเผือก


เมื่อดวงอาทิตย์โคจรไปรอบๆ ใจกลางทางช้างเผือก มันจะผุดขึ้นผุดลงเมื่อเทียบกับระนาบดิสก์กาแลคซี ทุกๆ 64 ล้านปี ระบบของเราจะโผล่ขึ้นเหนือขอบเหนือของดิสก์ ส่งโลกเข้าสู่ดงรังสีคอสมิคที่อันตรายซึ่งอาจจะส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพบนดาวเคราะห์ของเรา:

  ทุกๆ 60 ล้านปีหรือประมาณนั้น มีสองสิ่งได้บังเกิดขึ้นเกือบจะคู่กันนั้นคือ ระบบสุริยะโผล่หัวขึ้นเหนือระนาบเฉลี่ยของดิสก์ทางช้างเผือก และความรุ่มรวยของชีวิตบนโลกก็ตกลงอย่างเห็นได้ชัด นักวิจัยได้ตั้งสมมุติฐานว่ากระบวนการแรกนั้นผลักดันกระบวนการหลัง ผ่านการเพิ่มการอาบรังสีอนุภาคกึ่งอะตอมพลังงานสูงที่เรียกว่ารังสีคอสมิคที่มาจากห้วงอวกาศระหว่างกาแลคซี การแผ่รังสีนั้นอาจจะฆ่าสิ่งมีชีวิตหลากชนิดที่มีบนโลก


การศึกษาใหม่ได้ยกย่องแนวความคิดนั้น โดยบอกถึงปัจจัยจากการอาบรังสีเป็นครั้งแรก นักวิจัยพบว่าเมื่อระบบสุริยะโผล่ขึ้นมา ปริมาณรังสีที่พื้นผิวโลกได้รับก็เพิ่มขึ้น อาจจะถึง 24 เท่าDimitra Atri ผู้เขียนนำรายงานจากมหาวิทยาลัยแคนซัส กล่าวว่า แม้แต่ค่าที่ประเมินต่ำที่สุด การอาบรังสีก็ส่งผลต่อโลกของสิ่งมีชีวิต(biosphere) อย่างเป็นช่วงเวลา ทีมนำเสนอการค้นพบในการประชุมฤดูใบไม้ร่วงของสหภาพธรณีฟิสิกส์อเมริกัน ในซานฟรานซิสโก


รังสีคอสมิคส่วนใหญ่เป็นโปรตอนพลังงานสูงที่ถูกพ่นโดยคลื่นกระแทกของซุปเปอร์โนวาและเหตุการณ์รุนแรงอื่นๆ ทั่วทั้งเอกภพ พวกมันอาบโลกอย่างคงที่ ชนกับพื้นที่ทุกตารางนิ้วในชั้นบรรยากาศส่วนบนของดาวเคราะห์บ้านเราหลายครั้งในแต่ละวินาที แต่รังสีคอสมิคก็ไม่สามารถทะลุลงมาถึงพื้นดินได้ แต่กลับเป็นว่าพวกมันชนกับอะตอมหลายชนิดในชั้นบรรยากาศ สร้างอนุภาคพลังงานต่ำกว่า อย่างเช่น มิวออน(muons) Atri กล่าวว่า มันก็เหมือนกับฝนของอนุภาค มีมิวออนหลายพันอนุภาควิ่งผ่านร่างกายของเราในแต่ละนาที แม้ว่าอนุภาคเหล่านี้จะสามารถทำให้โมเลกุลแตกตัวโดยการผลักอิเลคตรอนออกไป, สร้างความเสียหายให้กับ DNA แต่มนุษย์และสิ่งมีชีวิตรูปแบบอื่นก็สามารถรับมืดกับการแผ่รังสีพื้นหลังปริมาณปกตินี้ได้ Atri กล่าวว่า ชีวิตได้พัฒนาพร้อมกับการแผ่รังสีปริมาณเท่านี้ได้


แต่สิ่งที่อาจจะทำให้ชีวิตต้องล้มลงก็คือการพุ่งขึ้นของปริมาณรังสี Atri กล่าวเสริม การเพิ่มขึ้นอย่างมโหฬารน่าจะมาจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างเช่น การระเบิดซุปเปอร์โนวาใกล้ๆ หรือมันอาจจะเป็นผลจากการที่โลกสูญเสียเกราะป้องกันบางส่วนไปตามเวลา


ที่ด้านเหนือของทางช้างเผือกห่างออกไปประมาณ 60 ล้านปีแสงมีกระจุกกาแลคซีหญิงสาวขนาดมหึมา แรงโน้มถ่วงที่มหาศาลของกระจุกหญิงสาวได้ดึงทางช้างเผือกเข้าหามันด้วยความเร็วประมาณ 720,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การวิ่งเข้าใส่ได้สร้างคลื่นกระแทกซึ่งก็สร้างรังสีคอสมิคพลังงานสูงขึ้นที่ด้านเหนือในดิสก์กาแลคซี โดยปกติ สนามแม่เหล็กของทางช้างเผือกจะป้องกันระบบสุริยะจากอนุภาคอันตรายเกือบทั้งหมดได้ แต่ทุกๆ 64 ล้านปีหรือประมาณนั้น ระบบสุริยะของเราจะโผล่ขี้นเหนือขอบเหนือของดิสก์กาแลคซี เปิดตัวโลกให้เจอรังสีคอสมิคมากขึ้น


คาบเวลาดังกล่าวสอดคล้องเป็นอย่างดีกับรูปแบบความหลากหลายทางชีวภาพที่นักวิจัยอื่นได้ตรวจพบในปี 2005 กล่าวคือ เมื่อ 542 ล้านปีหลัง ความหลากหลายของชีวิตบนโลกแกร่งอย่างเป็นปกติ โดยมีจำนวนรวมสปีชีส์บนดาวเคราะห์เพิ่มขึ้นและลดลงทุกๆ 62 ล้านปี ในปี 2007 นักวิจัย Mikhail Medvedev และ Adrian Melott จากมหาวิทยาลัยแคนซัสทั้งคู่ ซึ่ง Melott เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของ Atri และผู้เขียนร่วมการศึกษาปัจจุบัน ได้เสนอว่าความพ้องของวัฏจักรทั้งสองนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ


ทฤษฎีกล่าวว่าการอาบรังสีคอสมิคอย่างท่วมท้นได้ทำลายความรุ่มรวยสปีชีส์ ความหลากหลายทางชีวภาพฟื้นขึ้นมาเพียงเพื่อที่จะถูกทำลายในการอาบรังสีอย่างท่วมท้นในอีก 60 ล้านปีต่อมา การศึกษาใหม่ได้ให้ตัวเลขการพุ่งขึ้นของรังสีเป็นครั้งแรก


Atri และ Melott ได้สร้างแบบจำลองปริมาณรังสีที่โลกได้รับเมื่อระบบสุริยะโผล่ขึ้นเหนือดิสก์ทางช้างเผือก การจำลองฝนอนุภาครังสีคอสมิคเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ดังนั้นทีมจึงใช้ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ National Center for Supercomputing Applications ซึ่งอยู่ที่มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ที่เออร์บาน่า-แชมเปญ หลังจากให้ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์วิ่งไปหลายชั่วโมง ทั้งคู่ได้ตรวจสอบปริมาณรังสีที่พื้นผิวโลกได้รับในระหว่างคาบการโคจร ที่ขอบต่ำ โลกน่าจะได้รับรังสีมากอีก 88% ของปริมาณปกติ หรือประมาณ 1.88 เท่าของปริมาณเฉลี่ย แต่ขอบขั้นสูงนั้นน่ากลัวมาก ที่ 24.5 เท่าของปริมาณปกติ นั้นมันเยอะมากๆ Atri กล่าว


และแม้ว่าปริมาณรังสีที่ไปทางขอบล่างแต่ก็น่าจะเพียงพอที่จะส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพ พวกมันน่าจะส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศ ชักนำสู่เหตุการณ์ความรุนแรงอื่นๆ เช่น การปะทุภูเขาไฟและการชนดาวเคราะห์น้อย แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้ทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพลดลงโดยตรง แต่ปริมาณขนาดนี้ก็สร้างความเครียดให้กับโลกสิ่งมีชีวิตได้


ดังนั้นแล้ว อะไรจะรอโลกในอนาคตอันใกล้นี้ ระบบสุริยะกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นสู่ขอบเหนือของดิสก์กาแลคซี แต่การเพิ่มขึ้นอย่างมากของการอาบรังสีคอสมิคน่าจะยังอีก 10 ล้านปีข้างหน้า นักวิจัยกล่าว



rook   :รายงาน 

http://www.darasartonline.com/webnews/index.asp?news=524
  
  แหล่งที่มา:

space.com : Earth biodiversity pattern may trace back to bobbing Solar system path

วันศุกร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2554

My Trip to Flora Fantasia @Wang Nam Kaew 29-12-2010



ทำความรู้จัก "วังน้ำเขียว" แหล่งโอโซนอันดับ 7 ของโลก ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น สวิตเซอร์แลนด์แดนอีสาน


ความเป็นมาของอำเภอวังน้ำเขียววังน้ำเขียว เป็นอำเภอหนึ่งที่อยู่ตอนใต้ของจังหวัดนครราชสีมาที่มาของชื่อ วังน้ำเขียว นั้นได้มาจากสภาพภูมิประเทศของที่นี่ เพราะพื้นที่ในแถบนี้มีวังน้ำที่ใสงดงามเป็นธรรมชาติ น้ำนั้นใส จนมองเห็นเงาสะท้อนสีเขียวของต้นไม้จึงเรียกพื้นที่นี้ว่าวังน้ำเขียวนั่นเอง...



วังน้ำเขียว ได้มีชื่อเป็นแหล่งโอโซนอันดับ 7 ของโลก จึงมีผู้นิยมไปท่องเที่ยวมากมาย มีสถานที่พักมากมายวังน้ำเขียว มีถนนเส้นหลักที่พาดผ่านอำเภอกบินทร์บุรี จากด้าน จ.ปราจีนบุรี ผ่านวังน้ำเขียวยาวลงไปถึงปักธงชัยคือทางหลวง แผ่นดินหมายเลข 304



ปัจจุบันวังน้ำเขียวมีการปกครอง แยกเป็น 5 ตำบลตำบลต่างๆ ประกอบด้วย ตำบลวังน้ำเขียว ตำบลไทยสามัคคี ตำบลอุดมทรัพย์ ตำบลวังหมี และตำบลระเริงและมีพื้นที่ติดต่อกับ อำเภอนาดี อำเภอปักธงชัย อำเภอปากช่อง อำเภอเสิงสาง และอำเภอครบุรี



สภาพภูมิประเทศ และภูมิอากาศภูมิประเทศของอำเภอวังน้ำเขียว ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูง เลยทำให้วังเขียวมีอากาศที่เย็นสบายเกือบ ทั้งปีฝนก็ชุก และมีหมอกมาก จะเห็นได้จากคำขวัญของอำเภอที่ว่า "วังน้ำเขียว เมืองหนาว ภูเขามากมาย น้ำตกหลากหลาย ผลไม้นานาพันธุ์ แดนสวรรค์เมืองหมอก" แต่คนส่วนมากที่เคยมา เที่ยวจะกล่าวถึงวังน้ำเขียวว่าเป็น " สวิตเซอร์แลนด์แดนอีสาน" เพราะพื้นที่และอากาศในแถบนี้คล้ายคลึงกับสวิตเซอร์แลนด์

บันทึกการเดินทาง 29/12/2010


เดินทางมาตั้งไกล ก่อนเข้าเขาแผงม้า วังน้ำเขียว กัวหิววว... เจอร้านสเต็ก ขอแวะรองท้องซะหน่อย


ทิวทัศน์มองจากร้านสเต็กต้นน้ำ มองเห็นทิวเขาสวยงามสบายตาดี อาหาร รสชาติก็ใช้ได้

























ก่อนถึงสถานที่จัดงาน ผ่านร้านกาแฟสวยๆ ชื่อ "a CUP of Love" แต่งร้านอารมณ์เดียวกับที่ปาย แม่ฮ่องสอน

วิวสวยๆ ของร้าน "a CUP of Love"

และแล้วก็มาถึงที่จัดงาน Flora Fantasia มหกรรมดอกไม้ครั้งแรกที่วังน้ำเขียว เสียค่าเข้าชมคนละร้อย


ก่อนไปต่อ มารู้จักที่ไปที่มากันนิดนึง ...
แรงบันดาลใจ
วังน้ำเขียว เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดนครราชสีมา ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นสถานที่ที่มีโอโซนสูงเป็นอันดับ 7 ของโลก และด้วยสภาพพื้นที่ที่งดงาม สภาพอากาศที่เหมาะสม โดยเฉพาะในฤดูหนาว หมอกจะพัดมาเป็นสาย จนกลายเป็นทะเลหมอกที่งดงาม และได้รับกล่าวว่าเป็น สวิตเซอร์แลนด์ในแดนอีสาน
แนวคิดที่สำคัญของการจัดงาน Wangnamkeaw Flora Fantasiaคือ การสร้างศิลปะกลางหุบเขา ด้วยการปรับสภาพพื้นที่อันงดงามผืนหนึ่งใน วังน้ำเขียวให้เป็นสวนจิตรกรรม ธรรมชาติท่ามกลางขุนเขาและสายหมอก ซึ่งจะเป็นงานสำคัญที่จะต้อนรับเทศกาลฤดูหนาวของประเทศไทย และเป็น มหกรรมการแสดงดอกไม้คู่กับงานศิลปะที่งดงามไม่แพ้มหกรรมดอกไม้ใดๆ ที่จัดขึ้นในโลกนี้
พร้อมกันนั้น ยังได้ร่วมกับผู้สนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนชั้นนำกว่า 10 องค์กรทั้งด้านของการประชาสัมพันธ์ สื่อตามเส้นทางเดินทาง เครือข่ายห้อง พักโรงแรมและรีสอร์ท การออกร้านและการแสดงทางวัฒนธรรม และการมี ส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่ ตลอดจนการสร้างกิจกรรมที่หลากหลายในช่วง 3 เดือนของการจัดงาน เพื่อให้เกิดงานมหกรรมแสดงดอกไม้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พร้อมกับเป็นการร่วมทำบุญโดยรายได้ หลังหักค่าใช้จ่าย สมทบทุนสร้าง อาคารภาคบริการโลหิตแห่งชาติที่ 8 อีกด้วย


ผู้ดำเนินโครงการ
สมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย ร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนกว่า 40 แห่ง
วัตถุประสงค์
เพื่อนำรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย สมทบทุนสร้างอาคารภาคบริการโลหิต แห่งชาติที่ 8
พื้นที่ตั้งโครงการ
แยกวัดป่าโพธิ์เฉลิมพระเกียรติ ต.วังน้ำเขียว อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
การดำเนินงาน
สวนจิตรกรรมธรรมชาติเทคนิค Vertical Garden โดยร่วมกับศิลปิน ชั้นนำคือ Flower Artist และ Landscaper ผู้เชี่ยวชาญจากไต้หวัน จำลองภาพอลังการดุจภาพวาดจากปลายพู่กันและถังสีขนาดยักษ์ ด้วยเขาวงกตดอกไม้กว่า 200,000 กระถาง ดอกไม้ปลูกและหว่านกว่าล้านเมล็ด จุดชมวิวและถ่ายภาพมุมสูง (Bird Eye View) สำหรับชมทัศนียภาพจิตรกรรมธรรมชาติ
> มีพื้นที่ Nursery อนุบาลต้นไม้พันธุ์ต่างๆ ขนาด 2,250 ตรม.
> มีการจัดกิจกรรมรายเดือนระหว่างเดือนธันวาคม 2553 - กุมภาพันธ์ 2554 และจัดพื้นที่สำหรับสาธารณูปโภคและความสะดวกพร้อมมูล อาทิ จุดชมวิว ร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร สุขา และจุดจอดรถกว่า 1,500 คัน

ระยะเวลาการเปิดให้เข้าชมงาน
วันที่ 20 ธันวาคม 2553 – วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 เวลาเปิด – ปิด ปกติ 09.00 น. – 18.00 น.
ยกเว้นวันเทศกาล ดังนี้ 
> วันที่ 25 ธันวาคม 2553 (คริสต์มาส) เปิด 09.00 น. – ปิด 22.00 น.
> วันที่ 31 ธันวาคม 2553 (เคาท์ดาวน์) เปิด 09.00 น. – ปิด 01.00 น.
> วันที่ 1 – 2 มกราคม 2554 (ปีใหม่) เปิด 09.00 น. – ปิด 22.00 น.
> วันที่ 3 – 6 กุมภาพันธ์ 2554 (ตรุษจีน) เปิด 09.00 น. – ปิด 22.00 น.





ถ่ายไว้ เดี๋ยวไม่รู้ว่าที่นี่วังน้ำเขียว

ป้ายชี้ ทุกๆอย่างไปทางเดียวกันหมด ??? อืมมม... แบบนี้ จะไปไหนไม่หลงแน่นอน 55555++++

ดอกไม้ลานตา

ดูใกล้ๆก็ตาลาย

Concept ของงานประมาณว่า ณ.ที่แห่งนี้ แต่งแต้มสีสันด้วยศิลปะดินสอและพู่กัน



แต่ละบริษัทที่เข้าร่วม จัดบูทดอกไม้แข่งกัน

รวมถึงศิลปะสานจากหวาย





มองจากด้านบน เห็นสวนดอกไม้จัดเป็นเขาวงกต จำทางออกไว้แล้ว ไม่หลงแน่นอน เดี๋ยวจะลงไปดู

อุโมงค์ฟักทอง เป็นทางเข้าเขาวงกต ถูกคลุมด้วยฟักทองแปลกๆนาๆพันธุ์ แบบว่า
"มีฟักทองปบบนี้ในโลกด้วยเหรอ ..."















กะหล่ำปลียักษ์มั๊ง ???


สุดอุโมงค์ฟักทอง ก็ถึงทางเข้าเขาวงกต  จาหลงมั๊ยเนี่ยยย .....

เริ่มงง และวิงเวียนกับกลิ่นดอกไม้นาๆพันธ์.....

เดินวกไป ....

เดินวนกลับมาที่เก่า .!!@#$???... ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ตะโกนบอกทางเป็นระยะ


และแล้วก็เจอทางออก ... เฮ้อออ

ดอกไม้เยอะลานตาดีเหมือนกัน แต่สถานที่จัดงานยังไม่ครบองค์ประกอบเท่าไหร่ เช่นไม่มีต้นไม้ตามธรรมชาติ หรือแหล่งน้ำหรือลำธาร เลยทำให้งานดูยังไม่ยิ่งใหญ่ตามคำโฆษณา


ได้เวลาเข้าที่พัก ภูธาราฟ้า รีสอร์ท .....